การได้มาใช้ชีวิตที่มหาชีวาลัยอีสาน ณ วันที่ 18 พฤษภาคม 2551 เป็นโอกาสหนึ่งที่ได้มีโอกาสทบทวนและถามใจตัวเองอีกครั้งหนึ่ง กิจกรรมในยามค่ำคืนที่ อ.มนตรี และ อ.ประสาท วิทยากรในทีมจิตวิวัฒน์ ได้จัดวงสุนทรียสนทนาให้ได้ฝึกการเรียนรู้ตน ยังคงกรุ่นอยู่ในความรู้สึกของฉัน วันนี้ทั้งวันกิจกรรมที่อาจารย์ได้จัดให้นั้น ยังคงเป็นเรื่องของการฝึกการฟังแบบห้อยแขวน ฟังแบบไม่ตัดสิน
ฉันเชื่อว่า เมื่อผ่านกิจกรรมมาแล้ว 2 วัน ใครบางคนที่คิดว่า การฝึกการฟัง เป็นเรื่องทำง่ายตรงไปตรงมาตามตัวหนังสือ เข้าใจตามที่เคยวิเคราะห์เพื่อให้ตัวเองจดจำการได้ร่ำเรียนตามวิธีเรียนที่คุ้นชินมาแต่เก่าก่อน คงเปลี่ยนความคิดไปแล้วว่า เมื่อเติบโตมาจนมีวัยวุฒิและคุณวุฒิปัจจุบัน เรายังต้องการการฝึกการฟังใหม่
โจทย์ของอาจารย์ถามว่า เมื่อเราฟังแล้วได้ยิน เรารู้สึกอย่างไร ฉันไม่รู้ว่าประสบการณ์ของคนอื่นๆเป็นอย่างไร สำหรับตัวฉันเอง ฉันได้เรียนรู้ว่า เรื่องของความรู้สึกที่อยู่ภายในของแต่ละคนนั้น ไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ตามการร่ำเรียนแบบที่เคยคุ้นชินเดิมๆ ฉันได้เรียนรู้ตัวเองว่า ฉันใช้ความคุ้นชินเดิมๆในการอธิบายความรู้สึกภายในของตัวเองโดยการเล่าเวลาถูกถาม ซึ่งในขณะนั้นๆ การอธิบายจะออกมาได้รวดเร็วราวกับมันเป็นความจำที่มีอยู่แล้ว แล้วก็คิดว่านั่นคือคำอธิบายความรู้สึก จนเมื่ออึ่งอ๊อบมีคำถามขึ้นมาว่าช่วยอธิบายหน่อยว่า “ความคิด” และ “ความรู้สึก” มันต่างกันตรงไหน
ฉันคลิกตอนที่อึ่งอ๊อบถามนี่แหละว่า ฉันยังไม่คลิกเลยว่า “ความคิด” กับ “ความรู้สึก”มีเส้นแบ่งกันที่ตรงไหน รู้แต่ว่า ความคิด กับ ความรู้สึก ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ตอนอึ่งอ๊อบถาม จึงยืนยันว่า มันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน และพยายามที่จะช่วยอึ่งอ๊อบให้เข้าใจเพิ่มขึ้น นักการอิ่มและน้องสิงห์ป่าสัก คือ ฮีโร่ในครั้งนี้ นักการอิ่ม ตอบว่า ทั้งสองเรื่องมีเส้นบางๆคั่นอยู่ มันจึงไม่ใช่เรื่องเดียวกัน สิงห์ป่าสัก ตอบว่า ต้องแยกความคิด ออกจากความรู้สึก จึงจะรู้ว่า ทั้งสองอย่างไม่ใช่เรื่องเดียวกัน พร้อมยกตัวอย่าง
ตอนที่นักการอิ่ม และ สิงห์ป่าสัก ช่วยกันบอกอึ่งอ๊อบ ฉันก็คลิกตัวเองว่า กิจกรรมที่ผ่านมาแล้วก่อนเบรค ในขณะที่ฉันว่าฉันรับรู้ความรู้สึกของน้องนิด สิงห์ป่าสัก และ อ.น้อยได้ แต่หากกิจกรรมนี้ต้องการให้ฉันได้ฝึกการฟังตนเอง ตั้งแต่ผ่านกิจกรรมมาแล้ว 2 รอบ ฉันไม่ได้เรียนรู้เลยว่าการฟังของฉันพัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะเมื่อฉันเป็นคนพูดให้คนอื่นฟัง ฉันว่าความคิดมันบดบังเป็นม่านบังทำให้ฉันปิดหูไม่รับรู้ตัวเองในขณะที่พูดนั้น
เมื่ออาจารย์เริ่มกิจกรรมสนทนาแบบวงอ่างปลา ฉันจึงเริ่มฝึกตัวเองในเรื่องการฟังใหม่ ในครั้งนี้ ฉันรับรู้ว่า ในขณะที่นั่งข้างหลังและฟังน้องหนิง จากพิษณุโลกพูด ใจมันรับรู้ความรู้สึกในก้นบึ้งของน้องหนิงตั้งแต่ก่อนน้องหนิงเริ่มพูด ตอนนั้นร่างกายมีความเปลี่ยนแปลงคือ น้ำตารื้น ทั้งๆที่ไม่มีเรื่องอะไรแวบมาให้รู้สึกเศร้า รับรู้ความรู้สึกในใจตอนที่ร่างกายเป็นเช่นนี้ว่า มีความแปลกใจ เอ๊ะ เราเป็นอะไรไป ทำไมจึงร้องไห้ ยังไม่ได้ยินเสียงเขาเลยสักหน่อย แล้วเมื่อน้องหนิงเริ่มพูด เรื่องที่พูดก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราแม้แต่สักน้อย ใจขณะนั้นมันก็ไม่มีความกังวล ไม่มีความเสียใจอะไรอยู่ มันเป็นอะไรที่รับรู้ขึ้นมาเอง ไม่มีความคิดอะไรที่ไปวิเคราะห์สิ่งที่น้องหนิงพูดแม้สักน้อย วินาทีนี้แหละที่เริ่มเข้าใจเรื่องการฟังแบบแขวนไว้ ฟังแบบไม่ตัดสิน ฟังให้ลึก ให้ได้ยินไปถึงก้นบึ้งของคนพูด รู้ว่า การฟังแบบแขวนไว้ ทำความเข้าใจด้วยตัวอักษรไม่ได้ ต้องลงมือทำ เหมือนที่ครูบาสอนไว้เลยว่า จะปลูกต้นไม้ต้องลงมือปลูกเองจึงจะรู้ว่าปลูกอย่างไรต้นไม้จึงไม่ตาย
หลังเลิกเรียน ก็ไปชวนให้น้องๆจากกระบี่มาฝึกเขียนบันทึกและสร้างบล็อกของตัวเองเพื่อเริ่มต้น เมื่ออาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ไม่มัวรอให้เงื้อ จนอ.ประสาทอาบน้ำเรียบร้อยแล้วมานั่งเขียนบันทึกอยู่ใกล้ๆ จึงได้มีโอกาสถามข้อข้องใจในเรื่องของความรู้สึกที่เล่าให้วงกิจกรรมสุนทรียสนทนาในวงช่วงค่ำ มีหลายจังหวะมากที่อยู่ดีๆ น้ำตาฉันก็รื้นบอกตา โดยใจไม่กังวล ไม่เศร้า ไม่กระหวัดคิดไปที่เรื่องใดๆ ฉันอธิบายความรู้สึกนี้ว่า มันอิ่ม มันเลยไม่มีคำถามใดๆกับตัวเอง อาจารย์บอกว่า นั้นคือ ความรู้สึกปิติ ซึ่งเป็นนิมิตรหนึ่งที่บอกว่ากระบวนการใจได้พัฒนาไปแล้วระดับหนึ่ง
ฉันได้เล่าให้วงฟังว่า ความเข้าใจของตัวเองเดิมนั้นๆ เข้าใจว่า บรรยากาศเป็นใจ คือ เรื่องสำคัญที่จะทำให้คนเปิดใจ แต่วันนี้ฉันได้ความรู้ใหม่จากการเรียนรู้จากตัวเองว่า แท้ที่จริงการไม่สร้างเกราะบังความรู้สึกของตัวเอง เมื่อรับรู้ว่าใจอยากทำอะไร และทำตามที่มันสั่งมา โดยไม่มีคำถาม ไม่มีความหวาดระแวง ไม่มีความกลัว และจริงใจต่อตัวเองต่างหากที่ทำให้ฉันเปิดใจ ฉันว่าการที่ฉันเปิดใจ มันคงส่งผลออกมาให้คนอื่นจับต้องได้ เป็นธรรมชาติตัวตนของฉันเองที่คนอื่นสัมผัสได้ ฉันจึงได้รับความรัก ความรู้สึกดีๆ จากคนอื่นๆที่มามหาชีวลัยอีสานในครั้งนี้อย่างมากมาย แม้แต่คนที่เพิ่งเห็นหน้ากันครั้งแรก ที่ยังไม่รู้จักกัน หรือแม้แต่ชื่อก็ยังจำสับสน
อยากบันทึกความรู้สึกที่มันผุดขึ้นมาสดๆใหม่ๆเพื่อแบ่งปันอีกในเรื่องอื่น แต่ด้วยเวลานี้ มันดึกมากแล้ว จึงขอจบบันทึกนี้ก่อนนะ
อ.ประสาทได้กรุณาเพิ่มเติมความรู้ให้ว่า เมื่อมีประสบการณ์ในลักษณะนี้ ให้ฝึกตัวเองซ้ำๆ เพื่อให้สามารถพาใจให้หลุดเปลาะต่างๆ ออกไปได้อีกในชั้นสูงขึ้นๆ ฉันว่าใจฉันมันเหมือนกับได้ถูกธรรมชาติของตัวตนปรับเปลี่ยนเป็นคนใหม่อีกคนแล้ว เป็นการสะสางอะไรบางอย่างออกไปจากตัวเพื่อพบกับการเรียนรู้ที่สดใหม่ต่อไป
18 พฤษภาคม 2551
อ่านแล้วรับความรู้สึกคุณหมอได้เลยค่ะ ว่าเกิดปิติขนาดไหน
ยินดีด้วยค่ะ ^ ^
ว่าแต่ว่า พี่อึ่งอ๊อบของดิฉันกินเก่งเอ๊ยน่ารักไหมคะ อิอิ
ทำไมพี่หมอเจ๊สวยขึ้นแหละสาวขึ้น งง...อิอิ จริงๆ
อาจารย์หมอค่ะ
เข้ามาอ่านหลายรอบอย่างมีความสุข จิตว่าง โปร่งสบาย ตามตัวอักษรและท้องฟ้า
ทุกวันนี้คนเรามักตัดสินใจอะไร ด้วยความรู้สึก มากกว่าความเป็นจริง
ยินดีด้วยครับ ที่หมอเจ๊พัฒนาขึ้น
ก็สงกะสัยเหมือนกันว่าทำไมสาวขึ้น สวยขึ้น อิอิ
อ่านแล้วรู้สึกอิจฉาคุณหมอจังเลยค่ะ ได้พาน้องๆไปพัฒนาการเป็น CA อีกแล้วใช่มั้ยคะ คิดถึงทุกๆคน แต่ไม่เคยได้เข้ามาเปิดบันทึกเขียนของตัวเองซักกะที คอยอ่านแต่ของคนอื่น โดยเฉพาะของคุณหมอนี่แหละค่ะ ครั้งนี้อ่านแล้วอยากไปอิ่มใจบ้างจัง
สวัสดีค่ะพี่หมอเจ๊
ดีใจมากๆค่ะที่ได้พบพี่หมอเจ๊ ... อยากจะบอกว่า พี่หมอเจ๊สวย และน่ารักมากๆ ...
อ่านบันทึกจากใจเปิดของพี่หมอเจ๊นี้แล้ว ทำให้ต้องกลับมามองตนอีกครั้งค่ะ ว่าตนเองได้พัฒนาในเรื่องของการฟัง และการเปิดใจแล้วยัง ซึ่งอย่างไรก็คงต้องพัฒนาตัวเองต่อไปค่ะ...ขอบคุณมากๆอีกครั้งค่ะ
อิอิ ดีใจที่ได้รู้จักหมอเจ๊ค่ะ คราวนี้ได้เพื่อนgotoknow เพิ่มหลายรายเลยนะคะ
สวัสดีครับ
อาจารย์ หมอเจ๊ คนสวย แซ่เฮ ค่ะ
สวัสดีค่ะ
ขอโทษที่ไม่ไปร่ำลาคุณหมอเจ๊และน้องๆทีมกระบี่ตอนจะกลับค่ะ เห็นกำลังมีกิจกรรมกันก็เกรงจะไปรบกวน...
ไปคราวนี้เหมือนจะหลายวันแต่ก็พบว่า แทบจะไม่ได้คุยกับคุณหมอเจ๊เลย...(รวมทั้งกับท่านอื่นๆด้วย)...
ทุกๆกิจกรรมมีค่าสำหรับตัวเองมากเลยค่ะ ตอนกลางคืนที่อาจารย์มนตรีบอกว่า ให้บอกเล่าถ้าอยากจะพูด...แต่ไม่ต้องพูดเพียงเพราะว่ามันเงียบ...ตอนนั้นพยายามถามใจตัวเองตลอดว่า มีอะไรจะพูดไหม หรือว่าอยากพูดจริงๆหรือ...สุดท้ายก็รู้ว่าใจไม่ติดข้องอยากพูดอะไร และก็ฟังสมาชิกพูดไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ไปคิดแทนหรือตัดสินเรื่องที่พูด ใจตอนนั้นโล่งสบายมากเลยค่ะ ..และคืนนั้นก็หลับสบายมากๆ ด้วย (อยู่สวนป่าหลับสบาย สนิททุกคืนด้วยค่ะ)
หวังว่าคงมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกับคุณหมอเจ๊ ค่ะ
(ขอโทษด้วยค่ะที่นึกว่าคุณหมอเจ๊อายุน้อยกว่าคุณหมอคนชอบวิ่งและน้อยกว่าตัวเอง..ขอโทษอย่างแรงค่ะ)
สวัสดีค่ะพี่หมอเจ๊
กอดนุ่มๆด้วยความโล่งใจที่กลับถึงบ้านโดยปลอดภัยทุกๆท่านนะคะ
และยิ้มชื่นใจที่พี่หมอเจ๊..ซึมซับจิตวิวัฒน์ได้อย่างงดงาม
กอดอุ่นๆอีกครั้งข้ามฟ้าไกลค่ะ
*** แวะมาสวัสดีค่ะ ***
*** คิดถึงคุณหมอเจ๊เสมอค่ะ ***
*** เฮฮาศาสตร์ 5 น่าปลื้มจริงๆ ค่ะ ***
ถึงคุณน้องหมอเจ๊
มาร่วมเก็บเกี่ยวประสบการณ์ผ่านบันทึกค่ะ
ขอบคุณนะคะ
สวัสดีครับหมอเจ๊
ผมอาราม จากลำพูน ครับ มากับครูพี่อึ่ง พี่สร้อย
แวะมาทักทายและเล่าเรื่องราวกับหมอ
..เช้าของวันหนึ่งผมได้ไปเดินชมสวนป่าตอนเช้าๆพบกับคณะหมอเจ๊สนุกสนานกับการเก็บผักนานาชนิดในสวน เช่นผักตำลึงและผักอี่นๆอย่างสนุกสนานรอบๆคอกหมูเหมยซาน
ผมเองก็เดินดูต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อยๆ สักพักได้ยินเสียงอะไรซักอย่างหักดังเป๊าะบริเวณสวนมะนาวติดกับคอกหมู จากนั้นก็มีน้ำจากท่อพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเกือบๆ 2 เมตรได้
..จ๊าก..น้องเขียวเหยียบท่อหักครับขณะที่ชุลมุนกันอยู่ในสวนมะนาว เห็นคณะมองหน้ากันไปมาจากนั้นก็ตะโกนเรียกว่า ลุงๆช่วยหน่อยค่า ท่อน้ำแตก อยู่2-3รอบ ผมเองก็สงสัยและก็มองหาว่าเขาเรียกใครกัน หันไปมาก็ไม่เห็นมีใคร สุดท้าย ผมนั่นเอง(แง๊ ๆ ไม่ยอมครับเรียกผมเป็นลุง เสียแล้ว แอบฟ้องคุณหมอเสียเลยครับ แหะ แหะ)
..ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดีก็รีบวิ่งไปช่วยดูให้ พบว่าหัก 2ท่อนเลยครับ ดีที่สามารถนำชิ้นส่วนมาเสียบได้สนิทพอดีน้ำเลยหยุด
..มาทราบทีหลังว่าคุณหมอเป็นแม่ครัวมือหนึ่งประจำครัวครั้งนี้เลยครับ หร่อยจังฮู้..
**จะหาโอกาสมาชิมฝีมือทำกับข้าวหมออีกให้ได้นะครับ..