ฝึกอยู่กับความเจ็บปวดบ้าง ยอมหลั่งน้ำตาบ้างแล้วเราก็จะพบตัวเองได้อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น ...มีความสุขขึ้น! และจะพบกับ "การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น" อย่างที่ซาเทียร์เรียกว่า Becoming More Fully Human!
เมื่อวันที่ ๘-๑๑ พ.ค.๕๑ ผมไปเข้ารับการอบรมที่จัดโดยศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
เรื่อง Using the Satir Model for Intrapersonal and Interpersonal Deveopment
โดยมีวิทยากรจากแคนาดา ชื่อ Katherine Maki-Banmen ลูกศิษย์ของ Virginia Satir
ผู้บุกเบิกด้านครอบครัวบำบัด (familytherapy) และเป็นผู้สร้างทฤษฎีทางจิตวิทยา
ที่ใช้ในการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ ผมเข้าใจว่าเธอเป็นนักจิตวิทยาในสายมนุษยนิยม
แบบเดียวกับ Carl Rogers วิธีการที่เธอใช้ละม้ายคล้ายคลึงกับ Rogers มาก
นั่นคือเคารพและเชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์ของแต่ละคนมาก ทุกคนมีศักยภาพและ
สามารถที่จะค้นพบศักยภาพภายในนี้ได้
ผศ.นพ.ธนา นิลชัยโกวิทย์ จากภาควิชาจิตเวชศาสตร์ รามาธิบดี ทำหน้าที่เป็นผู้แปล
และเป็นวิทยากรในการฝึกปฏิบัติช่วงกลางคืนทั้ง ๓ คืน ผมสังเกตว่าคุณหมอธนา
เป็นผู้หนึ่งที่สามารถ "อยู่กับปัจจุบัน" ได้ดีมาก เพราะสามารถ "จดจ่อ" กับการแปล
ตลอดทั้ง ๔ วัน ทั้งอังกฤษเป็นไทยและไทยเป็นอังกฤษ โดยไม่หลุดเลย
การต้องจดจ่อแบบนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมกลัว คือกลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถ "จดจ่อ" ได้
ตลอดรอดฝั่ง ผมจึงทึ่งในตัวคุณหมอธนามาก ในวันสุดท้ายตอนพักเบรก
ผมบอกคุณหมอว่าผมทึ่งมาก คุณหมอบอกว่าสิ่งที่ยากที่สุดในการทำหน้าที่นี้คือ
การอยู่กับปัจจุบันนี่แหละ
การอบรมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประมาณ ๔๐ คน เป็นนักศึกษา ป.โท ของ
โครงการจิตตปัญญา ๙ คน นอกนั้นก็เป็นอาจารย์และบุคลากรจากหน่วยงานต่างๆ
ของมหาวิทยาลัยมหิดลเอง มีผู้ได้รับเชิญจากเพื่อนพ้องผู้ศึกษานพลักษณ์จำนวนหนึ่ง
(รวมทั้งผมด้วย)
สถานที่จัดการอบรมคือที่เดอะรอยัล เจมส์ ลอดจ์ 2000 นครปฐม อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย
ผมขับรถจากมหาวิทยาลัยไปประมาณ ๑๐ นาที
การอบรมครั้งนี้ใช้เวลา ๔ วัน ๓ คืน (ตั้งแต่ ๙ โมงเช้าถึง ๓ ทุ่ม ทุกคืน) หัวข้อละวัน
วันแรก Iceberg - ส่วนของภูเขาน้ำแข็งที่อยู่เหนือน้ำคือพฤติกรรมที่
เราแสดงออกมาให้คนอื่นเห็น แต่สิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นคือส่วนที่อยู่ลึกลงไปใต้น้ำ
ประกอบด้วย
- ความรู้สึก (feeling) รวมทั้งความรู้สึกต่อความรู้สึกนั้นๆ (feeling of feeling)
- การมองตัวเองของเรา (perception)
- ความคาดหวัง (expectation)
ทั้ง ๓ อย่างนี้ เชื่อมโยงกับตัวตน(Self - I am) อันเป็นแก่นแท้ของเรา
(ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล) ผ่านทางความปรารถนาลึกๆ (yearning) ของเรา
เช่น ความรัก ความเมตตา ความเชื่อมโยงกับผู้อื่น
Iceberg Model ที่ซาเทียร์ใช้นี้ผมเคยเห็นในวิชาการจัดการความรู้มาก่อน
ใช้ภูเขาน้ำแข็งเหมือนกันแต่นำมาอธิบายคนละเรื่อง คนละวัตถุประสงค์
Iceberg Model ของซาเทียร์ทำให้ผมเข้าใจว่าลึกลงไปภายใต้พฤติกรรมภายนอก
ของเรานั้นมีเรื่องอะไรให้เราพิจารณาบ้าง และเรื่องนั้นๆ (ความรู้สึก การมองตน และ
ความคาดหวัง) เชื่อมโยงอะไรกับตนตัวของเราผ่านตัวความปรารถนาที่ลึกที่สุด(yearning)
ของเราบ้าง นั่นก็คือ มันได้ connected กับ "จิตวิญญาณ" อันเป็นสากลอย่างไรบ้าง
นั่นคือ ความจริง ความงาม ความรัก ความเมตตา ความกรุณา ความเอื้ออาทร ฯลฯ
ที่เป็นความปรารถนาที่สถิตย์อยู่ในส่วนลึกที่สุดของมนุษย์ทุกคน (จะเรียกว่าพระธรรม
พระเมตตา พระเจ้า หรืออะไรก็แล้วแต่)
คำว่า CONNECTED จึงเป็น key word ของหัวข้อ iceberg
ก่อนหน้าที่จะแนะนำโมเดล Iceberg นี้ Kathy ให้เราแนะนำตัวเองกันก่อน โดยให้เรา
ลุกขึ้นเดินไปหาใครก็ได้อย่างน้อย ๖ คน เพื่อจะบอกเขาว่าเรามีความประทับใจในตัวเอง
อะไรบ้าง ๓ อย่าง บอกของเราเสร็จแล้วก็ฟังของเขาด้วย กิจกรรมนี้ทำให้ผมต้องใช้
ความคิดว่าเรามีอะไรดีๆ ที่เราพอใจตัวเองบ้าง ผมก็คิดว่า ผมใจเย็นไม่โกรธง่าย
ผมมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถเชื่อมโยงอะไรที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวกัน
ให้มาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันได้และผมก็(บางครั้งมีลูกบ้า)พร้อมลุยกับสิ่งที่ผมเห็นว่าถูกต้อง
โดยไม่สนใจว่าใครจะใหญ่คับฟ้ามาจากไหน
วันที่สอง Survival Coping Stances ตามทฤษฎีของซาเทียร์นี้ไม่ใช่บุคลิกภาพ (personality)
แต่เป็นพฤติกรรม (behaviour) ที่คนเราใช้กันประจำ โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับภาวะไม่ปกติ
มีอยู่ ๔ stances ดังนี้
แบบแรก ตำหนิคนอื่น (Blaming - BL) เขาให้ทำท่าคนยืนเท้าสะเอวและชี้นิ้วใส่คนอื่นเป็นสัญลักษณ์
แบบที่สอง ให้บริการ/ช่วยคนอื่น (Placating - PL) ให้ทำท่าคนคุกเข่า
ยื่นมือออกขอความรักหรือความเห็นใจจากคนอื่นเป็นสัญลักษณ์
แบบที่สาม ใช้เหตุผล (Super Reasonable - SR) ใช้ท่าคนยืนเท้าชิด กอดอก ตัวเกร็ง แข็งทื่อ
เป็นสัญลักษณ์
แบบที่สี่ ไม่อยู่กับร่องกับรอย (Irrelevant - IR) ใช้ท่าคนทำท่าเต้นไปเต้นมาด้วยท่าทาง
แปลกๆ อยู่นิ่งไม่ได้ เป็นสัญลักษณ์
เธอบอกว่าทั้ง ๔ อันนี้เป็น stances หลัก ผมก็เลยเข้าใจ(เอาเอง)ว่ายังมี stances อื่นๆ อีก
เพราะเธอบอกว่าที่มาของ stances เหล่านี้มี ๓ ตัว คือ Self (S), Other (O), Context (C)
เมื่อเราปิดตัวหนึ่งหรือสองตัวหรือปิดทั้ง ๓ ตัว จะทำให้พฤติกรรมที่เราแสดงออกแตกต่างกัน
เช่น เมื่อเราปิดคนอื่น (ปิดตัว O) เปิดแต่ S กับ C เราก็จะมีพฤติกรรมก้าวร้าว เพราะเราไม่
เห็นคนอื่น ผมจึงคิด(เรื่อยเปื่อย)ว่า ความเป็นไปได้ของการเปิดปิดของสิ่ง ๓ อย่าง เราทำได้
ถึง ๙ วิธี (เท่ากับ ๓ ยกกำลัง ๒) ตั้งแต่ปิดทั้งหมด เปิดบางตัวปิดบางตัว ไปจนถึงเปิดทั้งหมด
ดีที่สุดคือการเปิดทั้งหมดทั้ง S, O และ C
นั่นคือ "เห็นทั้งหมด" แล้วชีวิตเราจะสมบูรณ์
เรื่องที่ทำให้ผมแปลกใจคือการวิเคราะห์ Survival Coping Stances ตามแนวคิด
ซาเทียร์ ๒ แบบหลัง คือ แบบ SR และแบบ IR ว่ามีสาเหตุมาจาก
"อารมณ์ที่อ่อนไหว" (sensitive)
Super Reasonable (SR) ไม่กล้าที่จะสัมผัสกับความรู้สึกของตัวเอง (Self - S)
และของคนอื่น (Other - O) แต่ยังดีที่ยังยึดบริบท (Context - C) ไว้ได้ คือยังเล่นกับบริบท
มีเรื่องให้คิดด้วยเหตุด้วยผล พรรคพวกที่จัดตัวเองเป็นคน ๕ ในนพลักษณ์
ที่ไปอบรมด้วยกัน เวลาให้แบ่งกลุ่มตามพฤติกรรมที่มักใช้ประจำ เขาไปเข้ากลุ่ม SR กัน
และเขาก็งงๆ กับคำอธิบายนี้ เพราะเขาเข้าใจว่าตัวเองเป็นพวกศูนย์หัว
เป็นพวกที่ไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึก คล้ายกับเมื่อฟังแล้วจะมีคำถามเกิดขึ้นว่า
"คนศูนย์หัวจะอารมณ์อ่อนไหวได้อย่างไร?"
Irrelevant (IR) ยิ่งหนักไปอีก คือ sensitive กว่าอีก คืออ่อนไหวที่สุด มากกว่าใครในโลก
อารมณ์อ่อนไหวมากจน "กลัว" ที่จะสัมผัสกับอารมณ์ของตัวเอง (S)
ของคนอื่น (O) ไม่กล้าที่จะผูกพันตัวเองกับบริบทใด (C) ด้วย
ผมที่เป็นลักษณ์ ๗ (เมื่อจัดตามนพลักษณ์) ก็ตัดสินใจไปอยู่กลุ่มนี้ ตอนแบ่งกลุ่ม
ซึ่งพบว่าเป็นกลุ่มเล็กสุด มีแค่ ๓ คน (จาก ๔๐ คน) สักพักหนึ่งมีพรรคพวก
ที่เป็นเพื่อนลักษณ์ ๔ มาสมทบเพิ่มอีกคน (ตอนแรกเขาไปเข้ากลุ่ม Blaming - ตำหนิ แล้ว
สมาชิกในกลุ่มเขาบอกว่าไม่ใช่ หรืออย่างไรนี่แหละ จึงย้ายมา)
ที่แปลกใจก็เพราะว่า ตัวเองเคยศึกษาวิธีการจำแนกบุคลิกภาพคนแบบนพลักษณ์ (Enneagram)
มาก่อน นพลักษณ์จำแนกคนกว้างๆ ออกเป็น ๓ พวก พวกหนึ่งใช้ "กาย" (หรือท้อง) เป็นหลัก
พวกนี้พลังเยอะ อีกพวกหนึ่งใช้ "ความคิด" (หรือหัว) เป็นหลัก ส่วนอีกพวกหนึ่งใช้
"อารมณ์ความรู้สึก" (หรือใจ) เป็นหลัก เรียกว่าเป็นพวกศูนย์กาย ศูนย์หัว และศูนย์ใจ
ในแต่ละศูนย์จะมี ๓ บุคลิกภาพ รวมแล้ว ๓ x ๓ เป็น ๙ บุคลิกภาพ หรือเรียกว่าลักษณะคน
๙ ประเภท คำว่า เก้า ตรงกับบาลี(หรือสันสกฤตก็ไม่ทราบ) ว่า นพ ดังนั้น นพลักษณ์ จึง
หมายถึง ๙ ลักษณะ (ของคน)
ผมเป็นพวกศูนย์หัว ที่มี ๓ ลักษณ์ คือ ลักษณ์ ๕ (นักสังเกตุการณ์อยู่หลังกำแพง)
ลักษณ์ ๖ (ขี้ระแวง) และลักษณ์ ๗ (มีความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่ตลอดเวลา แต่เป็น
เฒ่าทารกที่ตะกละและขอบสนุก ขี้ลืม ไม่สามารถจดจ่อกับใครหรืออะไร ไม่รักษาสัญญา
ชอบแก้ตัว ฯลฯ)
ผมเป็นพวกลักษณ์เจ็ด ที่มักอยู่แต่ในโลกของความคิด (ขี้เพ้อฝัน) เมื่อเรียนรู้นพลักษณ์จึง
เข้าใจว่าตัวเองไม่ค่อยมี หรือเข้าไม่ถึงอารมณ์ความรู้สึก ทั้งของตัวเองและคนอื่น
อยู่ๆ ก็มาได้ยินทฤษฎีว่า คนอย่างเอ็งนั่นแหละเป็นพวกที่มีอารมณ์อ่อนไหว(sensitive)
มากที่สุดในบรรดามนุษย์ทั้งหลาย
จึงต้องแปลกใจเป็นธรรมดา!
ผมนำความแปลกใจนี้มาใคร่ครวญอยู่หลายวันหลายคืนก็เริ่มคล้อยตามแนวคิดนี้
เริ่มคิดได้ว่า ปฐมบทแห่งพฤติกรรมที่ทำให้เราไม่ยอมผูกพันกับอะไรไม่ว่าจะเป็นตัวเอง
คนอื่น หรือบริบท ก็เพราะ "จริงๆ" แล้ว เรามี "ความรู้สึก" ที่ "อ่อนไหว" มาก
แต่เรา "กลัว" ความรู้สึกทุกอย่าง เราจึงพยายามปฏิเสธความรู้สึกทุกชนิดโดยไม่รู้ตัว
ใจเราอ่อนแอมาก เราไม่สามารถ "ทน" ความรู้สึกเจ็บปวดได้ (เรื่องนี้เป็นผลกระทบจาก
ชีวิตวัยเด็กของเรา ที่เขาอธิบายในการสัมมนาวันที่สาม) เราจึงพยายาม "หนี" จากตัวเอง
จากคนอื่น และจากบริบท (เรื่องราวหรือเหตุการณ์)
เราจึงมีพฤติกรรมภายนอกเหมือนคนไม่สนใจใครจริงจัง ไม่ใส่ใจอะไรจริงจัง
ลื่นไหลไปเรื่อย บางครั้งก็ชอบเล่าเรื่องอะไรเกินจริง (exaggerated)
บางครั้งก็พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึก ด้วยการเฉใฉไปเรื่องอื่น หรือทำให้เป็นเรื่องตลกโปกฮา
บางครั้งคำพูดที่เราสื่อสารก็ไม่ตรงกับความรู้สึกที่แท้จริง (หากเราสังเกตตัวเองให้ดี)
เพราะเรารับความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะนั้นไม่ได้ เราไม่กล้าเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเอง
หรือของคนอื่นอย่างตรงไปตรงมา หรือเผชิญหน้ากับสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา
คนอื่น(หากไม่สังเกตให้ดี)จะไม่รู้ว่าบางครั้งขณะที่เรา(พยายามปั้นหน้า)ยิ้มนั้น
ใจเรากำลังเจ็บปวดกำลังทุกข์อยู่ แต่เราก็พยายาม "ผ่าน" และ "ลืม" มันให้ได้โดยเร็วที่สุด
เท่าที่จะทำได้ (และก็มักลืมได้จริงๆ เสียด้วย เป็นความสามารถพิเศษของคนเหลวไหล)
ไม่รู้คนที่เคยศึกษานพลักษณ์และเป็นคนเจ็ดอย่างผมเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่า?
และเมื่อผมไตร่ตรองลึกๆ ลงไปอีก ผมก็พบว่า นพลักษณ์ก็ไม่ผิดในเรื่องที่ว่า คนเจ็ดเป็นศูนย์หัว
ที่ต้องฝึกใช้ "ใจ" ในการสัมพันธ์กับคนอื่น (และกับตัวเอง) เพราะปรมาจารย์นพลักษณ์(อาจจะ)
เข้าใจอยู่ว่า แท้ที่จริงแล้วเราเป็นพวกที่มี "ใจ" อ่อนไหวมากๆๆๆๆ มากจนเรากลัว "ใจ" ของเราเอง
และของคนอื่น
ท่านจึงให้เรา "หยุด" วิ่งหนี "ใจ" (อารมณ์ความรู้สึก - ทั้งของตัวเองและคนอื่น)
หันหน้ามาเผชิญกับมันอย่างตรงไปตรงมาดูบ้าง
ฝึกอยู่กับความเจ็บปวดบ้าง ยอมหลั่งน้ำตาบ้าง
แล้วเราก็จะพบตัวเองได้อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น ...มีความสุขขึ้น!
และจะพบกับ "การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น"
อย่างที่ซาเทียร์เรียกว่า Becoming More Fully Human!
วันที่สาม Family Mapping - ครอบครัวเป็นสิ่งแวดล้อมแรกที่เราเกิดและเติบโต
เราทุกคนได้รับผลกระทบ(impact)จากครอบครัว การเรียนรู้เพื่อเอาตัวรอด (survival)
ในแบบต่าง (coping stances) เริ่มจากชีวิตในครอบครัว
เรื่องนี้ทำให้ผมเพิ่งมาเข้าใจว่า ทำไมชีวิตผมถึงไม่ค่อย connect กับอะไรจริงจัง
ผม(ถูก)ออกจากบ้านในตัวอำเภอตั้งแต่ ๔ - ๕ ขวบ เพื่อมาเรียนหนังสืออยู่ในตัวจังหวัด
จบชั้นประถมแล้วก็มาเรียนมัธยมในกรุงเทพฯ แต่ไปไม่รอด(เกเร)กลับไปเรียนมัธยมที่บ้าน
ก็ไม่ได้อยู่บ้าน เพราะโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดอยู่ในตัวจังหวัด จบมัธยมก็ได้เป็น
นักศึกษาแลกเปลี่ยนไปอยู่ต่างประเทศปีหนึ่ง กลับมาเรียนต่อก็อยู่หอพักมหาวิทยาลัยได้พักหนึ่ง
ก็ต้องไปอยู่ป่าเพราะเหตุการณ์ทางการเมือง ออกจากป่ามาก็อยู่กรุงเทพฯ เรียนต่อและทำงาน
งานที่ทำก็ต้องตระเวณไปในพื้นที่ชนบททั่วประเทศ อยู่บ้านจริงๆ น้อยกว่าการตระเวณ
จนแฟนที่แต่งงานกันบอกว่าไปเข้าคลีนิคผู้มีบุตรยากมา เธอบอกว่า
หมอสั่งให้ผมต้องหยุดออกต่างจังหวัดระยะหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะไม่มีลูก
แล้วเราก็ทำได้สำเร็จจนมีลูกด้วยกันถึง ๓ คน นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ดูเหมือนว่าชีวิตผม
จะยังอยู่กับ "การเดินทางออกจากบ้าน" (ราวกับถูกสาป) ผมวิเคราะห์ตัวเองให้คู่ Dyads
ที่ช่วยสัมภาษณ์ผมเพื่อช่วยทำ family mapping ให้ผม ว่าประสบการณ์นี้ทำให้ผมกลายเป็น
คนที่ "ไม่ผูกพัน" กับทั้งคนและเรื่องราว (บริบท) อะไรได้ยาวนาน จนกลายเป็นนิสัย
ซึ่งทั้งภรรยาผมสะท้อนเรื่องนี้แก่ผมตั้งแต่แต่งงานกันใหม่ๆ จนกระทั่งมีลูกแล้วผมก็ยัง
ไม่เข้าใจเรื่องนี้ เพิ่งจะมา "สำนึก" เรื่องนี้เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง และการสำนึกได้เรื่องนี้ก็ได้
นำมาสู่ความเข้าใจชีวิตตัวเองในเรื่องอื่นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเริ่มสัมผัสกับ "ความสุขที่แท้จริง"
ของชีวิตตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ (รวมทั้งได้ตระหนักถึงความทุกข์และเหตุของมันไปพร้อมกันด้วย)
เขียนมาถึงตรงนี้ ผมเกิดความคิดว่าจะเขียนบันทึกประวัติชีวิตตัวเองที่มี impact ต่อพฤติกรรม
ของเรา ตามที่ได้เล่าให้คู่ฝึกฟังในวันนั้น (เสียดายไม่ได้บันทึกเสียงไว้) แต่ยังไม่บันทึกในวันนี้
เพราะวันนี้อยากเน้นเรื่อง Survival Coping Stances ก่อน
กิจกรรมนี้เป็นแบบฝึกหัดที่ Kathy ให้เราได้วิเคราะห์ผลกระทบจากครอบครัวต่อตัวเราเอง
และฝึกวิเคราะห์คนหนึ่งที่เป็นคู่ฝึกของเรา ผลัดกันทำ ใช้เวลานานมากทั้งกลางวันกลางคืน
วันที่สี่ Mandala - พลังชีวิตทั้ง ๘ ด้านของเรามีแค่ไหน เราจะจัดการพลังแต่ละด้านนั้นอย่างไร
คำว่า มันดาลา นี้ เมื่อฟัง Kathy จบแล้ว ทำให้ผมเข้าใจว่าคงจะเป็นคำเดียวกับคำว่า มณฑล ในภาษาบาลีหรือสันสฤตนี่แหละ ไม่แน่ใจ หมายถึงบริเวณที่เป็นวง มักแทนด้วยวงล้อกลมๆ ที่มีซี่ล้อเชื่อม
เข้าสู่จุดศูนย์กลาง และหมุนไปได้ ใช้แทนคำสอนด้านจิตวิญญาณในศาสนาต่างๆ
อย่างของพุทธก็เป็นวงล้ออริยมรรคที่มี(องค์)แปดซี่(แฉก) ที่เรียกว่า ธรรมจักร ที่
กระทรวงศึกษาธิการบ้านเรานำมาใช้เป็นเครื่องหมายประจำกระทรวง หรืออย่างที่เห็น
ในธงเหลืองเวลาวัดจัดงานบุญ
พลัง (Energy) ที่ว่านั้นมีทั้งพลังด้านร่างกาย (Physical) พลังด้านความสัมพันธ์ที่เรามีกับผู้อื่น
(Interactional) พลังอารมณ์ (Emotional) พลังผัสสะ (Sensory) พลังบริบท (Contextual)
พลังหล่อเลี้ยง (Nutritional - ในความหมายที่กว้างกว่าอาหาร) พลังปัญญา (Intellectual)
และพลังจิตวิญญาณ (Spiritual)
เราทุกคนมีพลังทั้ง ๘ นี้ในตัวเอง มันล้อมรอบตัวเรา (Self) อยู่ ถ้าพลังเราสมดุลย์ ไม่สูงๆ
ต่ำๆ หรือไม่พร่อง และมีกำลังมาก มันก็จะเปล่งประกายแวววาวออกมามาก
จนคนอื่นสังเกตได้ทีเดียว
Kathy เล่าว่า เธอเองมีประสบการณ์สัมผัสกับพลังเหล่านั้นมาแล้วเวลาที่ได้เข้าใกล้บางคน
ที่เธอบอกว่า "เป็นผู้บรรลุธรรม" แล้ว (ในอินเดีย ๒ คน และไทยคนหนึ่ง)
ผมจำได้ว่าวิศิษฐ์ วังวิญญู เคยเขียนหนังสือเล่มหนึ่งเมื่อปี ๔๘ ชื่อ มณฑลแห่งพลัง
หน้าปกเป็นรูปใบบัวคว่ำ พิมพ์โดยสำนักพิมพ์สวนเงินมีมา จำเนื้อหาละเอียดในนั้น
ไม่ได้ แต่คงเป็นเรื่องทำนองเดียวกัน
Kathy ให้เราจับคู่กัน ประเมินพร้อมเล่าให้คู่ของเราฟังว่าเราจะให้คะแนนพลังแต่ละอย่างแก่
ตัวเองอย่างไร ลองทำ rating ของตัวเองดู ตั้งแต่ 0 ถึง 10
บางอันเช่นพลังอารมณ์ ผมก็ให้คะแนนตัวเองน้อย (ใกล้ๆ ศูนย์) ในขณะที่พลัง intellectual
ก็ให้ตัวเองมากหน่อย ส่วนพลังจิตวิญญาณก็ให้ปานกลางเพราะรู้สึกว่าระยะหลังๆ เริ่มสามารถ
connect กับพลังอันนี้ในตัวเองได้มากขึ้นในเวลาที่ต้องตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
และแน่นอนว่าเมื่อดูในภาพรวมแล้วผมก็เห็นความไม่สมดุลย์ คือภาพการพล็อตจุดที่สูงๆ ต่ำ
อยู่ในวง Mandala (มณฑลแห่งพลัง) ของตัวเองอยู่มาก
คำถามที่ Kathy ให้คิดต่อคือ แต่ละคนจะหาทางเพิ่มพลังในด้านที่ยังพร่องของเราขึ้นได้อย่างไร?
It's your choices!