วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑ คือ วันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวไทย ปีนี้เราตั้งใจอยู่ทำบุญสงกรานต์ที่วัดป่าเจริญราชธรรมาราม บวชรับบุญปีใหม่ไทย ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสร้างสมบุญบารมีรับปีใหม่ สร้างความเป็นสิริมงคลสำหรับตนเอง ไม่น่าเชื่อ สงกรานต์ปีนี้เราได้ทำบุญมากที่สุดในชีวิต หลังจากฉันเพลเสร็จแล้วหลวงพ่อแสดงธรรมเทศนาเรื่องวันสงกรานต์ไว้โดยสรุป ดังนี้
นางสงกรานต์ปี ๒๕๕๑ ทรงนามว่า ทุงสะเทวี ทรงพาหุรัด ทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราค ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จนั่งมาเหนือหลังครุฑ เป็นพาหนะ
ปีนี้ วันอาทิตย์เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก ๔๐๐ ห่า ตกในโลกมนุษย์ ๔๐ ห่า ตกในมหาสมุทร ๘๐ ห่า ตกในป่าหินพานต์ ๑๒๐ ห่า ตกในเขาจักรวาล ๑๖๐ ห่า นาคให้น้ำ ๔ ตัว เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ ๒ ชื่อวิบัติ ข้าวกล้าในภูมินา จะได้ผลกึ่ง เสียกึ่ง เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีวาโย (ลม) น้ำน้อย
นางสงกรานต์ เป็นคติความเชื่ออยู่ในตำนานสงกรานต์ เป็นอุบายเพื่อให้คนโบราณได้รู้ว่าวันมหาสงกรานต์ คือ วันที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ ซึ่งสมัยนั้นถือเป็นการเถลิงศกใหม่ หรือวันขึ้นปีใหม่ตามสุริยคติตรงกับวันใด โดยสมมุติผ่านนางสงกรานต์ทั้งเจ็ดเทียบกับแต่ละวันในสัปดาห์ ปีไหนตรงกับวันใด นางสงกรานต์ที่มีชื่อสมมุติเข้ากับวันนั้นๆก็จะเป็นผู้อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมออกแห่ไปสรงน้ำ ซึ่งนางสงกรานต์ทั้งเจ็ดนี้ เป็นเทพธิดาลูกสาวท้าวกบิลพรหม และเป็นบาทบริจาริกาของพระอินทร์ จากตำนานเล่าถึงท้าวกบิลพรหมแพ้พนันธรรมบาลกุมาร ต้องตัดเศียรออกบูชาธรรมบาลกุมารตามสัญญา แต่เนื่องจากพระเศียรของพระองค์ตกไปอยู่ที่ใด ก็จะเป็นอันตรายต่อที่นั้นไม่ว่าจะเป็นบนอากาศ บนดินหรือในน้ำ ดังนั้น ธิดาทั้งเจ็ดจึงต้องนำพานมารองรับ และนำไปประดิษฐานไว้ในถ้ำคันธชุลี ณ เขาไกรลาส ครั้นถึงกำหนด ๓๖๕ วัน ซึ่งโลกสมมุติว่าเป็นปีหนึ่งเวียนมาถึงวันมหาสงกรานต์ เทพธิดาทั้งเจ็ดก็จะทรงพาหนะต่างๆผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของบิดาออกแห่ โดยที่เทพธิดาทั้งเจ็ดนี้ปรากฏในวันมหาสงกรานต์เป็นประจำ จึงได้ชื่อว่า “นางสงกรานต์” ส่วนท้าวกบิลพรหมนั้น โดยนัยก็คือ พระอาทิตย์ นั่นเอง เพราะกบิล หมายถึง สีแดง
จากประกาศสงกรานต์ข้างต้น และดูตามคำพยากรณ์โบราณ จะเห็นได้ว่าวันมหาสงกรานต์ปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ ท่านว่าพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่สู้งอกงามนัก ส่วนวันจันทร์เป็นวันเนา มักจะเกิดความไข้ต่างๆ เกลือจะแพง นางพญาจะร้อนใจ วันอังคารเป็นวันเถลิงศก ข้าราชการทุกหมู่เหล่าจะมีความสุข มีชัยชนะแก่ศัตรูหมู่พาล ส่วนทางล้านนาว่า ถ้าวันสังกรานต์ล่อง (หรือวันมหาสงกรานต์) ตรงกับวันอาทิตย์แล้ว ปีนั้นข้าว หมากเกลือจักแพง คนจักเป็นพยาธิ ข้าศึกจะมีแก่บ้านเมือง หนอนแมลงจักกินพืชไร่ แถมนางสงกรานต์ท่านเสด็จมา“ท่านั่ง” ซึ่งอิริยาบถนี้ เขาก็ว่าจะนำมาซึ่งความเจ็บไข้ ผู้คนล้มตายและจะเกิดเหตุเภทภัยต่างๆ
โดยรวมแล้วนะคะ เพื่อนว่าไหมค่ะ วันสงกรานต์ปีนี้ มีเรื่องเศร้าไม่น้อยทีเดียว เรื่องดีมีนิดเดียว หากไม่ดูคำทำนาย แต่ดูจากสภาพเศรษฐกิจ ตลอดจนดินฟ้าอากาศที่ผ่านมาก็บ่งบอกอนาคตได้อยู่แล้วค่ะ อย่างไรก็ตาม หากย้อนไปดูนางทุงสะเทวี นางสงกรานต์ปีหนูนี้นะคะ ถ้าอ่านให้ดีจะพบว่า พระนางนั้นนอกจากจะดูไม่ดุแล้ว ยังทรงครุฑ ซึ่งเป็นพาหนะของพระนารายณ์หรือพระวิษณุ ผู้เป็นหนึ่งในสามมหาเทพของพราหมณ์ และในพระหัตถ์ยังทรงจักรและสังข์ ที่เป็นอาวุธของพระนารายณ์อีกเช่นกัน ดังนั้น หากจะมองในด้านบวก นางทุงสะเทวีก็เป็นเสมือน “นอมินี” ของพระนารายณ์ที่ทรงมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองโลก และปราบปรามเหล่ายักษ์อสูรที่คอยมาสร้างความเดือดร้อนแก่มนุษย์ ส่วนภักษาหารที่เป็นผลมะเดื่อนั้น ทางฮินดูถือเป็นไม้มงคล และตามหลักวิทยาศาสตร์ผลมะเดื่อก็เป็นผลไม้ที่มีแคลเซียมสูง สัตว์ต่างๆจึงชอบกินผลมะเดื่อ อีกทั้งเปลือก รากและผลของมะเดื่อ ก็มีสรรพคุณทางยา โดยสามารถแก้ท้องร่วง ชะล้างบาดแผล สมานแผล ถอนพิษไข้ได้ และเป็นยาระบายอีกด้วยค่ะ
คำทำนายในทางร้ายทางลบ อาจจะทำให้หลายคนวิตกกังวลใจกับเรื่องอนาคต แต่ก็ยังพอชื่นใจกันอยู่บ้างกับแนวความคิดในทางบวกข้างต้น อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราอยู่กับปัจุบัน ดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาท เราก็ควรวางใจให้เป็นกลาง ไม่หวาดกลัวเรื่องร้าย ๆ และไม่ปล่อยปละละเลยที่จะระวังตนในเรื่องต่าง ๆ โดยตั้งมั่นอยู่ในธรรม มีธรรมะเป็นที่พึ่ง ปฏิบัติธรรมในทุกวัน ทุกโอกาส เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็จะมีความสุขได้ในทุกสถานการณ์ ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า "ธมฺมจารี สุขํ เสติ : ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข" "ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ : ธรรมย่อมคุ้มครองรักษาผู้ปฏิบัติธรรม" และ "สติมา สุขเมธติ : ผู้อยู่อย่างมีสติย่อมประสบความสุขทุกเมื่อ"
แม้แดดจะออก ฟ้าจะร้อง ฝนจะตก ถึงคราวข้าวยากหมากแพง โรคและภัยพิบัติต่าง ๆ จะเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องธรรมชาติและกฏแห่งกรรม ไม่มีใครห้ามได้ แต่เราสามารถห้ามใจไม่ให้ทุกข์และอยู่กับทุกสถานการณ์ได้ โดยมีสติเป็นเครื่องป้องกันใจ มีศีลเป็นที่อยู่อาศัย มีธรรมะเป็นอาหารและหยูกยาหล่อเลี้ยงภายใน อย่างนี้ถึงจะสมกับที่เรียกว่า เป็นชาวพุทธ อย่าลืมนะคะว่า คำว่า “พุทธ” แปลว่า รู้ ตื่นและเบิกบาน ทุกสถานการณ์เราจึงควรรู้ควรเข้าใจว่ามันเป็นกฏธรรมชาติ ตื่นจากความหวาดผวาและความหลงมัวเมา คือ มีสติ ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตตื่นตัวในการทำความดีอยู่เสมอ และทำใจให้เป็นสุข ร่มเย็น แล้วเราจะผ่านวิกฤติต่าง ๆ ไปได้อย่างน่าชื่นชม สาธุ...
สำหรับกิจกรรมของวัดป่าเจริญราชธรรมารามในปีนี้ วันที่ ๑๓ เมษายน ได้มีกิจกรรมทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระและแม่ชี การขนทรายเข้าวัด การก่อเจดีย์ทรายร่วมกัน การบวชเจดีย์ทราย การทอดผ้าป่ามหาสงกรานต์ เพื่อนๆรู้ไหมค่ะว่าอานิสงส์การก่อเจดีย์ทรายมีอย่างไรบ้าง มาค่ะจะเล่าให้ฟัง
ในสมัยพุทธกาลเล่าว่า ครั้นเมื่อพระพุทธองค์เสด็จประทับอยู่ ณ บุพพารามมหาวิหารในนครสาวัตถีได้เทศนาถึงอานิสงส์ก่อเจดีย์ทรายเป็นใจความว่าวันหนึ่งเป็นฤดูร้อนอากาศร้อนอบอ้าวมาก พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพักผ่อนพระอิริยาบถให้สบาย ณ หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำไม่ห่างจากพระนครเท่าใดนัก ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นทรายขาวสะอาดราบเรียบดีนัก มีพระดำริว่า "ควรทำเป็นรูปเจดีย์ขึ้น เพื่อบูชาพระรัตนตรัยดีกว่าที่เราจะมาเดินเล่นโดยเปล่าประโยชน์" เมื่อทรงดำริเช่นนั้นแล้วก็รีบลงมือก่อเป็นรูปเจดีย์ด้วยพระองค์เอง พวกบริวารทั้งหลายที่ตามเสด็จ ก็ลงมือก่อตามไปด้วย เมื่อสำเร็จแล้วมองก็เป็นทิวแถวสวยงามเกิดมีความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะนับดูแล้วมี ๘ หมื่น ๔ พัน พระองค์ทรงโสมนัสเป็นยิ่งนัก ก็เสด็จกลับมาสู่บุพพารามมหาวิหารแล้วกราบทูลถึงอานิสงส์ของการก่อพระเจดีย์ทรายบูชาพระรัตนตรัยที่พระองค์ได้ทรงกระทำมาแล้วโดยตลอด พระพุทธองค์ทรงโปรดประทานพระธรรมเทศนาว่า "มหาราชดูกรมหาบพิตร นรชนหญิงชายทั้งหลายเหล่าใด มีศรัทธาเลื่อมใสอุตสาห์พากเพียรพยายาม ทำการก่อสร้างพระเจดีย์ทรายใหญ่น้อยก็ดี มีจำนวนถึง ๘ หมื่น ๔ พันองค์นั้น หรือว่าจะมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ด้วยศรัทธาอันแรงกล้า ก็จะไม่ไปสู่อบายภูมิตลอดร้อยชาติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเป็นผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติบริวารเป็นอันมาก ครั้นตายไปจากมนุษย์โลก ก็จะไปเกิดในสวรรค์เสวยทิพย์สมบัติ แม้พระตถาคตก็เคยได้กระทำมาแล้ว" ในครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีอยู่แล้วพระองค์ทรงนำนิทานในอดีตมาแสดงต่อไปว่า ครั้งนั้นพระตถาคตได้เกิดในตระกูลอนาถา พอเจริญวัยขึ้นก็ต้องเข้าป่าแสวงหาฟืนมาขายเลี้ยงชีพ กระทำอย่างนี้เป็นอาจิณ อยู่มาวันหนึ่งได้เห็นทรายขาวสะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องในราวป่า ก็มีจิตผ่องใสศรัทธาใคร่จะก่อพระเจดีย์บูชาพระรัตนตรัย จึงสละเวลาไม่ตัดฟืนทั้งวัน ได้ก่อพระเจดีย์ทรายเสร็จแล้วได้ฉีกผ้าห่มผืนหนึ่งปักเป็นธงชัย แล้วบูชาพระรัตนตรัยในพุทธศาสดาของพระติสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วตั้งความปรารถนาว่า "ขอให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จพระโพธิญาณ ในอนาคตกาลโน้นเทอญ" ครั้นทำลายขันธ์แล้วไปเกิดอยู่ชั้นดาวดึงส์มีวิมานสูง ๑๒ โยชน์ เสวยทิพย์สมบัติอยู่ถึง ๒ พันปีทิพย์ เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วได้จุติมาเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสี ได้ท่องเที่ยวอยู่ในมนุษย์โลก บำเพ็ญบารมีญาณจนเต็มเปี่ยมดีแล้ว จึงได้มาอุบัติเป็นพระตถาคต ดังที่มหาบพิตรปรารภอยู่ขณะนี้ เมื่อจบพระธรรมเทศนาลงแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศล พร้อมด้วยบริวารทั้งหลายก็มีความยินดีโสมนัส ในการที่พระองค์ทรงก่อ พระเจดีย์ทรายบูชาคุณพระรัตนตรัยโดยไม่เปล่าประโยชน์
เป็นไงค่ะ แค่ก่อเจดีย์ทรายด้วยความตั้งใจและศรัทธาก็ได้บุญมากขนาดนี้ (รู้อย่างนี้แล้วจะพลาดได้ไงเรา) นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เราจะได้ก่อเจดีย์ทราย (เท่าที่จำได้ก็นึกไม่ออกว่าเคยก่อเจดีย์ทรายที่ไหนมาบ้าง) เราก่อเจดีย์ทราย 1 กองใหญ่ ให้เป็นเจดีย์ 3 ยอด แทนตัวคุณต้น เราและน้องพริมด้วย เสียดายที่คุณต้นกับพริมไม่ได้มา (เพราะเค้าหารถมาไม่ได้) หลวงพ่อให้วาดรูปนักษัตรตามปีที่เกิดไว้บนเจดีย์ทรายด้วย เพราะจะมีการบวชเจดีย์ทรายสะเดาะห์เคราะห์ เราก็ทำนะวาดรูปปีมะโรง ปีมะแม ปีกุนเอาไว้บนเจดีย์ทราย ดีนะที่น้องครีมมาช่วยเราก่อกองทรายด้วย ไม่งั้นเสร็จไม่ทันพิธีแน่ๆ ก็เล่นสนุกกัน 2 คน นี่แหละค่ะ ปีหน้าเราตั้งใจจะพาคุณต้นกับน้องพริมมาช่วยกันก่อเจดีย์ทราย บูชาพระรัตนตรัยและทำบุญมหาสงกรานต์ที่วัดนี้ด้วย
ภายในงานมีการจัดสถานที่เตรียมงานสงกรานต์ ในบริเวณที่ก่อสร้างโรงอุโบสถเฉลิมพระชนมพรรษา สถาปัตยกรรมแบบโบราณ ลูกศิษย์หลวงพ่อตกแต่งสถานที่ด้วย “ตุง” ทำให้ได้บรรยากาศแบบภาคเหนือ มีคนมาร่วมงานประมาณ 80 กว่าคน พอได้เวลาก็นิมนต์หลวงพ่อ พระทุกรูปและสามเณรทั้งหมดที่วัดมานั่งในงาน มีการเจริญพระพุทธมนต์ ชัยมงคลคาถา และบวชเจดีย์ทราย พระที่สวดให้เป็นพระจากภาคเหนือ เพราะสวดสำเนียงเหนือ และอู้คำเมืองด้วย จากนั้นก็สรงน้ำพระ ขอขมาพระ และทอดผ้าป่าสามัคคีก็เป็นการเสร็จพิธี
ส่วนการปฏิบัติธรรม ตั้งแต่พี่นุ้กมา เราได้กัลยาณมิตรที่ดีมาก พากันปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตลอด ทำให้เราปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้ดีขึ้น ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และหลวงพ่อมาก โดยเฉพาะพี่นุ้ก ศรัทธาหลวงพ่อมาก พี่เค้าบอกว่าเวลาเจริญวิปัสสนากรรมฐาน หลวงพ่อเหมือนรู้ใจเค้า พูดอะไรมาก็โดนใจเค้าสุดๆ ทำให้เค้ายิ่งมั่นใจว่าหลวงพ่อไม่ธรรมดา ว่าแล้วพี่นุ้กก็ตั้งใจปฏิบัติต่อ ทำให้พี่นุ้กได้สภาวธรรมต่างๆ เพิ่มขึ้น ทั้งๆที่เพิ่งมาฝึกปฏิบัติครั้งแรก แสดงว่าพี่เค้ามีบุญบารมีเก่ามาเยอะเลยปฏิบัติได้ผลดีมากกว่าคนอื่น โดยเฉพาะเรา มาอยู่หลายวันแล้วยังไม่ก้าวหน้าไปถึงไหนเลยค่ะท้อแท้ใจจังเลย หรือเราจะไม่มีบุญน๊า.. (เฮ้อ...คิดถึงลูก อยากกลับบ้าน)
บุญรักษา ธรรมคุ้มครองนะคะ ทุกคน
ไม่มีความเห็น