ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในห้วงอันตราย


ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น แทบทุกพรรคมักเอาพี่ เอาน้อง เอาลูก เอาหลาน เอาเมีย ไปสืบทอดอำนาจกันยกใหญ่ เป็นกระแสที่แห่ตามๆกันไป เหมือนกับคราวเห่อ "จตุคาม-รามเทพ"ไม่มีผิด ไม่เกรงใจผีสางเทวดากันเอาเสียเลย

 

(ตีพิมพ์ครั้งแรกที่"มติชน"วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10910)


ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในห้วงอันตราย


โดย ธัญศักดิ์ ณ นคร [email protected]



พรรคการเมืองเป็นสถาบันที่สำคัญสถาบันหนึ่ง ซึ่งต้องมีอยู่คู่กับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

เพราะเป็นที่รวมของคนที่มีอุดมการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ เหมือนๆ กัน โดยมุ่งกระทำกิจกรรมทางการเมือง เพื่อนำนโยบายออกเสนอต่อสาธารณชน หวังที่จะให้ประชาชนสนับสนุนและมอบอำนาจให้ เพื่อจะได้นำเอานโยบายนั้นๆ ไปบริหารบ้านเมืองอีกทีหนึ่ง

แต่สำหรับพรรคการเมืองไทยทุกพรรค เป็นที่รวมของคนที่ต้องการอำนาจทางการเมืองเท่านั้น หวังเป็นผู้แทนราษฎร เป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี

คือหวังตำแหน่งทางการเมืองท่าเดียว ส่วนอุดมการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ไม่ต้องพูดถึง มาอยู่รวมๆ กันไว้ เพื่อให้ได้ที่นั่งในสภามากๆ เข้าไว้ก่อน จะได้มีเสียงสนับสนุน จัดตั้งรัฐบาลได้ ก็เท่านั้นจริงๆ

ส่วนนโยบายที่พูดกันตอนหาเสียง ดูเหมือนจะลด แลก แจก แถม คล้ายๆ กันแทบทุกพรรค ใครคิดอะไรได้ ที่พอคิดว่าน่าจะโดนใจประชาชน ก็ประกาศเป็นนโยบายพรรคเอาไว้ก่อน

พรรคที่น่าเสียดายที่สุด คือพรรคเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ ที่บอกใครต่อใครว่า "พรรคข้าฯเป็นสถาบัน" นะเว้ย

ดันไปเอาประชานิยมกับเขาบ้าง แต่กลับเป็น "ประชานิยมเทียม" แบบกล้าๆ กลัวๆ

ผลที่ตามมาคือ สู้ "ประชานิยมแท้" สูตรดั้งเดิมไม่ได้

เรื่องพรรคการเมืองไม่มีนโยบาย หรือมี แต่เหมือนๆ กันนั้น ไม่มีใครว่าอะไรหรอกครับ แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ การออกนโยบายแบบ "ตัดแปะ"

คือไปตัดเอาแนวนโยบายแห่งรัฐ ที่เขียนเอาไว้ในรัฐธรรมนูญออกมา "ตัด" แล้วเอาไป "แปะ" ไว้ในนโยบายพรรคของตน

สะดวก รวดเร็ว ครอบคลุม ฟังแล้วไพเราะหูดี

ที่สำคัญ ประเด็นไหนที่คิดว่าโดนใจประชาชน ก็เอามาขยายเป็นสำนวนของพรรคตนเสียใหม่ เช่น

"เรียนฟรี 12 ปี ทำได้จริง" อะไรทำนองนี้แหละ

เรื่องเรียนฟรี ความจริงแล้วมิใช่นโยบายของพรรคการเมืองใดหรอก แต่รัฐธรรมนูญบังคับให้ทุกรัฐบาลต้องทำอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนทำได้สำเร็จ

ที่เอามาหาเสียงกันนั้น จึงเป็นเพียง "บันทึกช่วยจำ" ของพรรคการเมืองต่างหาก มิใช่นโยบาย

ที่สำคัญ พรรคการเมืองจะพัฒนาไปได้ ต้องเร่งระดมทรัพยากรเข้าพรรค ทรัพยากรที่สำคัญคือ "เงิน" และ "คน"

พรรคการเมืองบ้านเรา เร่งระดมหาเงินเข้าพรรคกันเก่งทุกพรรค แต่ไม่ค่อยเร่งระดมหาคนดี คนเก่ง หรือที่เรียกกันว่า "คนมีคุณภาพ" เข้าพรรคกันเลย

ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น แทบทุกพรรคมักเอาพี่ เอาน้อง เอาลูก เอาหลาน เอาเมีย ไปสืบทอดอำนาจกันยกใหญ่

เป็นกระแสที่แห่ตามๆ กันไป เหมือนกับคราวเห่อ "จตุคาม-รามเทพ" ไม่มีผิด ไม่เกรงใจผีสางเทวดากันเอาเสียเลย

เกิดเป็นลูกนักการเมืองไทย สบายไปเสียทุกอย่าง ไม่ต้องเก่ง ไม่ต้องดี ไม่ต้องฉลาด ไม่ต้องซื่อสัตย์ ไม่ต้องมีความรู้ ไม่ต้องมีประสบการณ์ อะไรทั้งสิ้น มีพ่อเป็นนักการเมืองไทย สามารถเข้าไปนั่งในสภา ทำงานที่ยิ่งใหญ่ได้

เมื่อประชาชนถามว่า "ท่านส่งลูกสมัครผู้แทนฯ โดยที่ลูกยังขาดความรู้และประสบการณ์ จะคิด จะทำ จะตัดสินใจเรื่องบ้านเมืองแทนปวงชนได้หรือ?"

ท่านผู้ทรงเกียรติก็มักจะตอบว่า "ลูกผมโตแล้ว จบปริญญา ชอบเรียนรู้ เข้าสภาแล้วมีพี่เลี้ยงดีๆ คงจะเรียนรู้งานได้อย่างรวดเร็ว"

โอ๊ย...ท่านคิดเอาบ้านเมืองไปเป็นที่ฝึกงานของลูกท่านหรือนี่

องค์กรใดมากไปด้วยคนที่ "ขาดความรู้และประสบการณ์" เป็นลางร้ายขององค์กรนั้นครับ

เมื่อสภาผู้แทนฯ 480 คน (ใกล้เป็นสภา 500 เข้าไปทุกทีแล้ว) มากไปด้วย "คนฉลาดน้อย ด้อยประสบการณ์" ท่ามกลางสังคมโลกที่ซับซ้อนและยุ่งเหยิงเช่นนี้ จะไปสู้อะไรกับใครเขาได้

ในที่สุด ชาติบ้านเมืองของเราก็ต้องถูกทอดทิ้งให้ล้าหลังไปเรื่อยๆ

ประเทศของเรากำลังตกอยู่ในห้วงอันตราย

หน้า 6

หมายเลขบันทึก: 181590เขียนเมื่อ 10 พฤษภาคม 2008 16:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 23:58 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ร่วมเป็นห่วงประเทศไทยด้วยค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท