เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน


เราต่างเป็นวิญญาณที่แสวงหาที่เกิด  ถือกำเนิดด้วยกรรมดีกรรมชั่วที่ก่อไว้

เหมือนคนเดินทางไกลไม่รู้จุดหมาย  น่าเสียดายหากมีผู้รู้จุดหมายทิ้งรอยเท้านำทาง

กระจ่างแจ้งดุจพลิกของคว่ำให้กลับหงาย  แต่หลายคนตายเสียก่อนจะทันรู้....

วิธีเชื่อเรื่องกรรมวิบากและความเป็นไปในโลกหน้า โดยไม่ต้องกลัวถูกกล่าวหาว่างมงายในภายหลัง

คือฟังว่าพระพุทธองค์ทรงตรัสเป็นเหตุเป็นผลไว้อย่างไร

 

เกิดมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร

บางคนนั่งชมทะเลอย่างเหม่อลอย ก็เป็นสุขแล้วไม่ต้องการคิดอะไรที่ที่เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์อีก

หลายคนได้รับผิดชอบตนเองและครอบครัวให้อยู่รอดก็เหนื่อยแล้ว อย่าเข็นให้คิดใช้ความเป็นมนุษย์ในทางอื่นเพิ่มเติมเสียให้ยาก

หลายคนรักความใฝ่ฝันหลากหลาย และเต็มใจบินไปคว้าดาวจากหลายขอบฟ้า เพื่อรู้จักความเป็นมนุษย์อย่างพิศดารสูงสุด

แต่มีน้อยเท่าน้อย ที่ตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า อะไรคือประโยชน์สูงสุดที่สมควรได้จากความเป็นมนุษย์

 

ตายแล้วไปไหนได้บ้าง

....หากหลังการตายมีรูปแบบการมีชีวิตอยู่จริง ก็นับเป็นเรื่องน่าพะวงกว่าความตายมากนัก เพราะกระบวนการตายอาจเกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาที แต่หลังจากนั้นเราจะต้องทนอยู่กับความจริงที่เหลืออีกนานเพียงใดไม่อาจทราบได้

หากมองด้วยความเชื่อว่าหลังความตายมีภพภูมิใหม่รอต้อนรับเราอยู่ มุมมองเกี่ยวกับความตายก็ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ การตายเป็นการสอบครั้งเดียวที่ไม่มีโอกาสแก้ตัวใหม่อีกรอบ

ความจริงก็คือเกือบทุกคนใช้ชีวิตประหนึ่งความตายไม่มีวันมาถึงตัวจึงไม่มีความจำเป็นต้องเตรียมต้อนรับ และเนื่องจาก ไม่ทราบ ไม่แน่ใจ หรือปักใจไม่เชื่อว่าชีวิตหลังความตายมี จึงไม่มีความจำเป็นต้องเตรียมเสบียงใดๆไว้สำหรับการเดินทางต่อ แต่ละคนใช้ชีวิตเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ หรือสนองความอยากกันเป็นขณะๆเท่านั้น

                การรับทราบว่าประสบการณ์ใกล้ตายเป็นอย่างไรอาจช่วยให้เตรียมตัวเตรียมใจได้ดีขึ้น  ข้อแรกคือระลึกเสียแต่เนิ่นๆว่าความตายไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หากปล่อยจิตปล่อยใจมั่วซั่วไปเรื่อยก็อาจได้ตายแบบมั่วซั่วไม่รู้เหนือรู้ใต้ได้เช่นกัน ข้อสองคือรู้ตามจริงว่าวาระใกล้ตายนั้นเราช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ขณะมีชีวิตสามารถตระเตรียมเสบียงไว้ล่วงหน้า เพื่อความอุ่นใจและพร้อมเผชิญจุดวิกฤตสูงสุดในชีวิตนี้โดยไม่ต้องพะวงหลงกลัวอะไรอีกเมื่อวินาทีนั้นมาถึงเข้าจริงๆ

                หากเราอยู่ในวันสุดท้ายของชีวิต และจิตกำลังทบทวนทุกสิ่งที่มีมาทั้งหมดในชีวิต หากยังนึกคิดทบทวนได้ หลายคนคงถามตัวเองว่าได้ปล่อยโอกาสให้ตัวเองพลาดสิ่งดีๆในชีวิตอันใดไปบ้าง

                แต่คงไม่มีใครบ่นรำพึงกับตัวเอง ว่าทำไมไม่ศึกษาพุทธศาสนาเสียให้ถึงแก่นก่อนมาถึงวันสุดท้ายของชีวิต

เราปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป  หลายคนรู้มาว่าเพชรพลอยในพระพุทธศาสนากองไว้ให้กอบโกย แต่ส่วนใหญ่แค่เพียงฟังหูไว้หู แบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจึงเป็น เรื่องน่าเสียดายในชีวิต

 

ธรรมในพระไตรปิฎกอันเปรียบประดุจภูเขาทองยังกองอยู่อย่างเปิดเผยมีน้อยคนที่ผ่านไปผ่านมาแล้วเต็มใจจะอ่าน

จึงเป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้ เพื่อให้เข้าใจเรื่องกรรม และรู้แจ้งเรื่องกรรมด้วยตนเองว่าเป็นเรื่องจริง เป็นอมตะ ไม่แปลผันตามกาล อย่างน้อยผู้อ่านได้มองเห็นโลกในมุมมองที่แตกต่างไป

นี่คือส่วนหนึ่งจากหนังสือ...............เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน

ของ     ดังตฤณ

หมายเลขบันทึก: 181216เขียนเมื่อ 8 พฤษภาคม 2008 11:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 23:57 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

มนุษย์เราส่วนใหญ่จะรำลึกถึงสิ่งดีๆ

เมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปแล้ว

เสียดายสิ่งที่ไม่ได้ทำ ทั้งๆที่ตอนมีเวลาอยู่ไม่ทำ

เข้ามาเยี่ยมปิ่งค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท