เมื่อผู้ใหญ่เตือนลูกหลานว่าอย่าชิงสุกก่อนห่ามนั่นคือ การสอนไม่ให้ทำสิ่งที่ยังไม่สมควรแก่วัย หรือยังไม่ถึงเวลา ซึ่งมักสอนในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร แล้วเมื่อไหร่คือวัยอันสมควรและเหมาะสม เราท่านควรเข้าใจเรื่องความรัก ความใคร่ของหญิงชายกันก่อนดีไหม
ความรัก ความใคร่.....ชายหญิงไม่เหมือนกัน
ความรักและความใคร่มีความสัมพันธ์กัน เปรียบเสมือนวงกลม 2 วงที่ซ้อนกัน เซ็กซ์บางส่วนไม่มีความรักเข้าไปเกี่ยวข้อง เช่น การข่มขืน การขายบริการทางเพศ แต่บางส่วนของความรักก็ไม่มีความใคร่เข้าไปเจือปน เช่น พ่อรักลูกสาว แม่รักลูกชาย คุณครูรักลูกศิษย์ รวมทั้งความรักต่างเพศแบบกัลยาณมิตร โดยไม่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว ส่วนตรงกลางที่ซ้อนกันระหว่างรักกับใคร่ ก็เช่นความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ซึ่งมีทั้ง 2 ส่วนประกอบกัน
ผู้หญิงมีความทุกข์ในเรื่องความรัก แต่ผู้ชายมีปัญหาเซ็กซ์ เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงและชายไม่เหมือนกัน ฮอร์โมนเพศหญิง เป็นฮอร์โมนแห่งความรัก ฮอร์โมนเพศชาย เป็นฮอร์โมนแห่งเซ็กซ์และความก้าวร้าว ผู้ชายส่วนใหญ่จึงสนใจหรือหมกมุ่นในเรื่องทางเพศมากกว่าผู้หญิง มีพฤติกรรมรุนแรงมากกว่าและสนใจกีฬาประเภทฟุตบอล ในขณะที่ผู้หญิงชอบอ่านหนังสือแนวโรแมนติก ติดละครโทรทัศน์ และชอบช็อปปิ้งมากกว่าเพศชาย นอกจากนี้ ผู้หญิงยังมีฮอร์โมนแห่งความเป็นแม่ ซึ่งจะหลั่งออกจากสมอง เมื่อเห็นเด็กทารก ภาพลักษณ์ที่มีลักษณะอ้วนๆ กลมๆ จะกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากอุ้มอยากกอด อยากดูแลเอาใจใส่...ผู้หญิงจึงเรียนพยาบาลมากกว่า ในขณะที่ผู้ชายไปเป็นทหาร
นอกจากฮอร์โมนแห่งความรักและความเป็นแม่แล้ว ผู้หญิงยังมีฮอร์โมนออกซีโทซิน ผลทางกายคือทำให้มดลูกบีบตัวเป็นจังหวะ แต่ผลทางจิตใจคือเป็นฮอร์โมนแห่งความผูกพัน จะหลั่งจากสมองใน 3 กรณี ได้แก่
1. หญิงตั้งครรภ์ท้องแก่ใกล้คลอด เมื่อมดลูกบีบตัวและคลอดลูกออกมา คุณแม่จึงรู้สึกผูกพันกับเด็กทันทีเมื่อตอนแรกเกิด
2. ขณะที่คุณแม่ให้นมลูก สมองจะหลั่งฮอร์โมนออกซีโทซิน ทำให้แม่เกิดความผูกพันกับลูกน้อยในอ้อมแขน
3. เวลาผู้หญิงมีเซ็กซ์กับผู้ชาย ฮอร์โมนออกซีโทซินหลั่งจากสมอง ทำให้มดลูกบีบตัวและผู้หญิงก็จะเกิดความผูกพันกับผู้ชายที่มีเซ็กซ์ด้วย
แต่ผู้ชายไม่มีฮอร์โมนออกซีโทซิน เพราะฉะนั้น โดยธรรมชาติแล้วเพศชายจึงไม่รักเดียวใจเดียว และไม่รู้สึกผูกพันกับผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ด้วย ในขณะที่ผู้หญิงหลายคนเข้าใจว่าผู้ชายคงรู้สึกแบบเดียวกัน คือผูกพันเป็นของกันและกัน
ผู้หญิงบางคนใช้เพศสัมพันธ์เป็นเครื่องมือในการผูกมัด แต่ผู้ชายส่วนใหญ่กลับรู้สึกหมดความตื่นเต้น หรือ “Game over” แล้วไปแสวงหาความเร้าใจจากคนใหม่ต่อไป นำไปสู่ความผิดหวังเรื่องความรัก เพราะไม่เข้าใจธรรมชาติที่แตกต่างของชายหญิง
อารมณ์และการตื่นตัวทางเพศในวัยหนุ่มสาว มีธรรมชาติอยู่ 3 ประการคือ
1. เป็นผลพวงของฮอร์โมนเพศชาย ผู้ชายมีมาก (ระดับสูงสุด ในช่วงอายุ 15-25 ปี) ส่วนผู้หญิงมีน้อย (ระดับสูงสุด ในช่วงอายุ 30-40 ปี) เด็กเล็กยังไม่มีและคนแก่ก็ลดลงกว่าตอนหนุ่มสาว
2. ผู้ชายตื่นตัวทางเพศง่ายและรวดเร็วกว่าผู้หญิงผู้ชายตื่นตัวง่ายกว่าเหมือนเตาแก๊ส ส่วนผู้หญิงตื่นตัวช้าเหมือนเตาถ่าน เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าธรรมชาติของผู้ชายเป็นวัตถุไวไฟ
3. สิ่งเร้าทางตากระตุ้นได้ไวที่สุด และรองลงมาคือทางผิวหนัง ผิวหนังส่วนที่ไวต่อการกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวทางเพศเรียกว่า erogenous zone (พื้นที่สัมผัสเสน่หา หรือพื้นที่วาบหวิวสยิวเสียว)
นอกจากนี้ เรายังพบว่าผู้หญิงอาจมีการตื่นตัวทางเพศได้อีก 2 กรณี ได้แก่
1. เมื่ออยู่ใกล้คนรัก เพราะอารมณ์รักนำไปสู่ความปรารถนาในการมีสัมผัสทางผิวหนัง
2. เมื่อมีไข่ตก (ช่วงกลางระหว่างรอบเดือน) และประมาณ 1-2 วันก่อนมีประจำเดือน (เนื่องจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงและมีเลือดเข้าไปคั่งในบริเวณอุ้งเชิงกรานมากกว่าปกติ)
ส่วนเพศชาย อาจเกิดการล่วงเกินกับฝ่ายหญิงได้โดยมีเหตุปัจจัย 2 ประการ ได้แก่
1. อยู่ด้วยกันตามลำพังสองต่อสอง ในที่ลับหูลับตา แล้วบรรยากาศพาไป
2. ฝ่ายหญิงแต่งตัวโป๊ล่อแหลม กระตุ้นเร้าการตื่นตัวทางเพศในฝ่ายชาย
ผู้หญิงจึงควรหลีกเลี่ยง 2 สถานการณ์ดังกล่าวเพื่อป้องกันตนเองในเรื่องภัยทางเพศ
คำว่ารัก...คุณรู้จักแน่จริงหรือ
ความรัก คือความรู้สึกชื่นชมยินดีจนบังเกิดความปรารถนาขึ้น ซึ่งแบ่งเป็นปรารถนาที่จะให้หรือปรารถนาที่จะรับ พูดง่ายๆ คืออยากให้หรืออยากเอา ถ้าชื่นชมแล้วปรารถนาที่จะให้ก็เป็นรักแท้หรือ “ความเมตตา” เช่น รัก ผูกพัน ปรองดอง ห่วงใย คิดถึง เห็นใจ เข้าใจ สามัคคี เอื้ออาทร เสียสละ และให้อภัย แต่ถ้าหากชื่นชมแล้วอยากเป็นฝ่ายรับก็เป็นรักเทียม หรือ “ความเสน่หา” เช่น ติดตา ตรึงใจ ชื่นชอบ หลงเสน่ห์ หลงใหล เคลิบเคลิ้ม โหยหา เป็นความรักที่เกิดขึ้นในวัยหนุ่มสาว เมื่อใดก็ตามที่กล่าวถึงคำว่า “ความรัก” ต้องแยกให้ออกว่าหมายถึงรักแบบเมตตาหรือเสน่หา
ความรักอาจแบ่งได้เป็น 4 เกรด ได้แก่
o เกรด 1 รักใคร่ใฝ่กามา...ต้องการเพียงแค่มีการสัมผัสสัมพันธ์ แต่ไม่ต้องการความผูกพัน
o เกรด 2 รักหวังวิวาห์มาคู่กัน...มีความผูกพัน (อยู่ไกล ใจคิดถึง-อยู่ใกล้ ใจเป็นสุข) แต่มีความหึงหวงยึดถือเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
o เกรด 3 รักปันแบ่งความสุข...เปลี่ยนจากความหึงหวงมาเป็นความห่วงใย ปรารถนาดีต่อกัน ใส่ใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่ง
o เกรด 4 รักยอมทุกข์เพื่อสุขเธอ...เป็นความรักแบบอุทิศ เช่น ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อบุตร
เซ็กซ์เปรียบเสมือนไฟ ความรักเปรียบเสมือนสายน้ำ...ทั้งไฟและน้ำต่างก็มีประโยชน์และโทษในตัวมันเอง ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ เราจึงต้องเรียนรู้ให้เข้าใจเรื่องความรักและความใคร่...การเรียนจนเกิดความรู้เท่าทันจะไม่ทำให้เราต้องเป็นทุกข์ ธรรมชาติของไฟ คือ มันเป็นลูกน้องที่ดี แต่เป็นเจ้านายที่เลว... เมื่อใดก็ตามที่เซ็กซ์ทำงานรับใช้เรา และเราควบคุมมันได้ เซ็กซ์จะทำให้เรามีความสุข แต่ถ้าเราประพฤติในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ธรรมชาติของน้ำ คือมันทำให้เรือลอยก็ได้ ทำให้เรือจมก็ได้...จิตที่ขาดสติก็เหมือนเรือที่มีรูรั่ว พร้อมที่จะจมลงสู่ห้วงรักเหวลึก แต่จงตั้งจิตให้เหมือนเรือที่ลอยอยู่เหนือน้ำ และให้สายน้ำนำพาชีวิตเราไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ เราจึงเรียนรู้ให้เข้าใจเรื่องความรัก สัมมาทิฐิในเรื่องความรักจะไม่ทำให้เราต้องเป็นทุกข์
ผู้หญิง “ปฏิเสธ” อย่างไรให้ได้ผล
เพศสัมพันธ์ครั้งแรกของวัยรุ่นส่วนใหญ่มิได้เกิดขึ้นด้วยความพร้อม ที่มีการเตรียมตัวเตรียมใจอย่างดี แต่เป็นผลจากการอยู่กันสองต่อสอง บรรยากาศพาไป...หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้น คือหญิงสาวมักปฏิเสธไม่เป็น ทั้งๆ ที่เป็นทักษะที่สำคัญเพื่อการปกป้องตนเองมิให้ตกเป็นเหยื่อจากการล่วงเกินจากเพื่อต่างเพศ เรื่องนี้ถือเป็นจุดอ่อนของหญิงไทย เพราะเราถูกสอนมาให้ทำตัวเป็นคน “ว่านอนสอนง่าย” คราวนี้พอเจอผู้ชายมาทำอะไรที่เราไม่ชอบ เลยไม่กล้ามีปากมีเสียง ผู้หญิงใจอ่อนแต่ปากแข็ง เจอผู้ชายจู๋แข็งแต่ปากหวาน เหตุการณ์มันก็เลยบานปลาย อย่างที่เห็นเป็นข่าวทุกวี่ทุกวัน
ประโยคไม้ตายที่ผู้ชายพูดเหมือนกันทั่วโลก เพื่อให้หญิงสาวยอมมีเซ็กซ์ด้วย “ถ้าเธอรักฉันจริง ก็ต้องยอมเป็นของฉัน ถ้าไม่ยอมก็แสดงว่าไม่รักกันจริง ถ้าอย่างนี้ฉันจะไปมีแฟนใหม่”... พูดอย่างนี้แทนที่ผู้หญิงหลายคนจะเลือกไม่ยอมมีเซ็กซ์กับเขา แต่กลับไม่ยอมให้เขาไปมีแฟนใหม่
ทั้งๆ ที่การมีเซ็กซ์กับเขา ก็มิได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราคนเดียวตลอดไป ในความเป็นจริง ผู้หญิงต้องตั้งสติให้ทัน แล้วคิดกลับประโยคให้ได้ว่า “ถ้าเขาไม่ยอมรับการปฎิเสธของเรา ก็แสดงว่าเขาไม่รักเราจริงเช่นเดียวกัน” อย่างนี้แล้วผู้ชายคนนี้สมควรเป็นแฟนเราต่อหรือไม่
ขอบคุณข้อมูลดี ๆ โดย.นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล
นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 26 ฉบับที่ 310 กุมภาพันธ์ 2548 หน้า 21-26.
น่าจะนำทั้ง ๔ เกรดมาหลอมรวมกันแล้วน่าจะสมบูรณ์ที่สุดนะ
เป็นความคิดที่ดีครับท่าน ผอ. ไว้รอกลับจากเชียงรายก่อน