Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

วันทีห้าของการเดินทาง บนเส้นทางสีขาว เส้นทางแห่งบุญ : หลวงปู่เสาร์ห้า


อัตตานัง ทมยันติ ปัณฑิตา : บัณฑิตย่อมฝึกฝนตนเอง , สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย : การสั่งสมบุญนำสุขมาให้

            เมื่อวานนี้ หลังจากที่พวกเราเฝ้ารอคอย และพยายามอย่างมากที่จะเข้าไปกราบหลวงปู่เสาร์ห้าให้ได้  เพราะหลวงปู่ใจดีมาก มีเมตตาและเก่งมาก  ในที่สุด พวกเราก็สมหวัง (ฮ่าๆ) ถึงแม้ว่าหลวงปู่จะยุ่งอยู่มาก แต่พวกเราก็รอและขอเข้าพบท่านจนได้ (ก่อนที่ท่านจะเดินทางไปเชียงใหม่หลายวัน)  ท่านกำลังทำเทียนสะเดาะเคราะห์อยู่กับน้องบอม  (เด็กวัดที่นี่หน้าตาดีมากๆ) เราก็เลยได้โอกาสขอเทียนจากหลวงปู่ด้วย ถึงแม้หลวงปู่จะคิวเต็ม (ทำไม่ทัน) แต่หลวงปู่ท่านก็เมตตามากให้พวกเราเขียนวัน เดือน ปีเกิดไว้ แล้วท่านก็จะทำเทียนให้  พวกเราก็ดีใจกันมาก  ส่วนวิธีใช้น้องบอม(ลูกศิษย์หลวงปู่และหลวงพ่อ)บอกว่า วันที่ 16 เมษายน  2551ให้นำเทียนนี้ไปจุดต่อหน้าพระพุทธรูป เวลาทุ่มตรง  แล้วนั่งกรรมฐานไปจนกว่าเทียนจะดับ  ก็จะช่วยสะเดาะเคราะห์ได้ เห็นไหมล่ะ โชคดีนะที่เข้าไปกราบหลวงปู่  พวกเราก็เลยได้ของดีกลับมา

            น้องพรถามจนได้รู้ว่าหลวงปู่เป็นคนเหนืออยู่สำนักสงฆ์อุดมศรีสุข ที่ อ.แม่แตง  จ.เชียงใหม่ หลวงปู่ฉันอาหารเจ ใครอยากนำอาหารมาถวายหลวงปู่ต้องเป็นอาหารเจนะคะ หลวงพ่อนิมนต์ท่านให้ลงมาช่วยที่วัดป่าเจริญฯ  พรก็ได้ปรึกษาท่านไปหลายเรื่องก่อนจะออกมาปฏิบัติกรรมฐานกันต่อ  ตอนเที่ยงๆ พี่สวย(นามสมมติ) กับคุณต้นและน้องพริมก็มา (เพราะเราไปโฆษณาเรื่องหลวงปู่ไว้เยอะ จนพี่สวยสนใจมากอยากมากราบท่าน)เราก็พาเข้าไปหาหลวงปู่ ซึ่งพี่สวยก็ปรึกษาท่านหลายเรื่อง (ให้เราออกมาคอยข้างนอก)  ส่วนเราเข้าไปถามหลวงปู่เรื่องน้องพริม เอาเค้าให้หลวงปู่ดู  เค้ามีเส้นขมวดเป็นขวัญอยู่ระหว่างคิ้วทั้งสองตรงหน้าผาก ซึ่งเราก็สงสัยว่า แบบนี้หมายความว่าไง  หลวงปู่ดูแล้วท่านก็บอกว่าดี ดีแล้ว  ท่านก็ผูกข้อมือ เป่ากระหม่อม รดน้ำมนต์ให้พรน้องพริม  แล้วหลวงปู่ก็รีบเดินทางไปเชียงใหม่  เราก็เลยพาพี่สวยไปกราบหลวงพ่อต่อ ปรากฏว่าพี่สวยจะชอบคำแนะนำของหลวงปู่มากกว่า เพราะมีทุกข์มาหลวงปู่ก็ดูดวงให้แล้วแนะนำเรื่องสะเดาะเคราะห์ รดน้ำมนต์ ไหว้พระราหูก่อน แล้วค่อยมาเข้ากรรมฐาน  ซึ่งเค้าสามารถทำได้ แต่ทำกรรมฐานไม่ได้  เพราะไม่ว่าง กลัวลำบาก  เค้าเลยไม่ค่อยชอบคำแนะนำของหลวงพ่อ  เพราะหลวงพ่อจะแนะนำให้สวดมนต์ สวดอิติปิโสแบบถอยหลัง 109 จบ และมาเข้ากรรมฐาน  ซึ่งอันหลังนี่พี่สวยไม่ชอบเลยเพราะลำบาก  ร้อน ยุงเยอะ ปวด เมื่อย ห่วงบ้าน ห่วงลูกหลาน ฯลฯ คนอย่างเค้ามีชีวิตสุขสบายดีอยู่แล้วทำไมต้องมาลำบากแบบนี้  ที่สำคัญเค้ากลัวคนอื่นมาเห็นแล้วเอาไปนินทาว่า เป็นคนมีทุกข์ก็เลยต้องมาบวชที่วัด  ถ้าอยากปฏิบัติๆที่บ้านก็ได้ ห้องพระก็มี แอร์ก็เย็น ยุงก็ไม่มี  คนรับใช้เยอะแยะสบายกว่าที่นี่ตั้งเยอะ

 

นี่เป็นความคิดผิดๆ ที่คนส่วนใหญ่ คิด เข้าใจและทำแบบพี่สวย

 

            ที่จริงไปวัดก็เป็นเหมือนไปโรงเรียนซึ่งมีครูคอยอบรม  สั่งสอนวิชา  จะได้นำวิชามาใช้เลี้ยงชีพได้   พระสงฆ์ท่านก็เปรียบเสมือนครูเพราะท่านมีหน้าที่ศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของบรมครู คือ พระพุทธเจ้าโดยตรง  แล้วนำความรู้ ประสบการณ์ต่าง ๆ มาถ่ายทอดแก่ฆราวาส  ซึ่งมิได้สละทางโลกเพื่อศึกษาธรรมโดยตรงอย่างท่าน   สอนความรู้อย่างเดียวไม่พอท่านยังนำฝึกปฏิบัติด้วย  เพื่อให้มีความชำนาญในการปฏิบัติธรรม  และเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง  แม้มีข้อกังขาก็สามารถไต่ถามได้  อีกอย่างหนึ่ง  พระพุทธเจ้าทรงสอนให้แสวงหากัลยาณมิตร ในการปฏิบัติกรรมฐาน  พระวิปัสนาจารย์ ก็คือ กัลยาณมิตรนั่นเอง  เพราะท่านผ่านประสบการณ์วิปัสนากรรมฐานมามาก   สามารถชี้แนะเราได้  เมื่อศึกษาและฝึกฝนแล้ว  ก็สามารถมาปฏิบัติที่บ้านหรือที่ไหน ๆ ได้  นำความรู้ทางธรรมมาปรับใช้กับทางโลกได้  เพื่อให้มีชีวิตที่ถูกต้อง  มีสติ  ทำชีวิตให้ร่มเย็น  นี่คือเป้าหมายของการเข้าวัดปฏิบัติกรรมฐาน

            จริงอยู่  ที่เข้าใจกันว่าการทำบุญไหว้พระ สวดมนต์ไปทำที่ไหนก็ได้  แต่การปฏิบัติกรรมฐานต้องมีครู  คอยแนะนำ ชี้แนะ สั่งสอนให้เราไปในทางที่ถูกต้อง ประกอบกับบรรยากาศที่สงบเอื้อต่อการฝึกปฏิบัติในวัด   ก่อนที่จะนำกลับไปปฏิบัติเอง  บางคนอาจจะมองว่ามันลำบาก  แต่ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่สักนิดสิค่ะ  ลองคิดเสียว่านี่คือการฝึก  ความลำบากทำให้เรามีความเข้มแข็ง อดทนมากขึ้น  มีจิตใจที่ต่อสู้กับอุปสรรคมากขึ้น  แทนที่จะปล่อยให้เจอแต่ความสบายจนติดยึดความสบาย ท้ายที่สุดเวลาเจอความไม่แน่นอนของชีวิตที่นำพาให้ชีวิตต้องลำบากขึ้นมาก็จะทุกข์หนักมากกว่าคนที่ฝึกปฏิบัติ  แล้วรับสภาพนั้นไม่ได้   เพราะไม่เคยฝึกลำบากไว้ไงค่ะ  ดังนั้นการไปวัดนั้นอันที่จริงคือการไปฝึก เพื่อนำสิ่งที่ฝึกมาใช้ในชีวิต เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางจิต  ไม่ให้หลงผิด  ติดยึดและเป็นทุกข์นั่นเอง  หรืออีกนัยหนึ่ง  ของการไปวัดก็คือการไปวัดระดับจิตใจของเรา  ว่ามีดีแค่ไหน  จิตใจอยู่ระดับไหน  ทาน  ศีล  ขันติ  ปัญญาหรือบารมีธรรมต่าง ๆ ที่เป็นทางแห่งสันติสุขที่แท้จริงเรามีอยู่มากน้อยเพียงใด

           เราอยากบอกเพื่อนๆทั้งหลายที่เข้าใจผิดว่า  เพื่อนๆต้องเปลี่ยนทัศนคติใหม่...เพราะวัดไม่ได้เป็นที่อยู่ที่ไปของคนมีทุกข์  หมดหวัง  เดือดร้อน  อดอยาก   ไม่ใช่เป็นที่รวมของคนอกหัก หรือคนสิ้นคิด  แต่เป็นสถานที่ๆ คนส่วนใหญ่ไปแสวงหาความรู้ทางธรรม  ซึ่งนำไปสู่การฝึกตนและการบำเพ็ญบุญ  แต่บุญก็มิได้มีแต่ขั้นการทำทาน  การรักษาศีลเท่านั้น   บุญขั้นสูงที่สำคัญที่สุดและสามารถแก้กรรมได้โดยตรงก็คือ  การเจริญภาวนาหรือการปฏิบัติกรรมฐาน  ซึ่งวัดเท่านั้นจะเป็นสถานที่เหมาะสมที่สุดในการเรียนรู้และฝึกปฏิบัติ    ตรงนี้คนส่วนมากอาจจะเหินห่างกันอยู่  อาจจะเป็นเพราะเอาแต่เข้าใจว่าทำบุญที่ไหนก็ได้  ไหว้พระที่บ้านก็ได้  ทำทานที่บ้านก็ได้  ทำให้ขาดโอกาสในการศึกษาปฏิบัติกรรมฐานไป  จนอาจลืมหรือคิดว่าเป็นสิ่งไม่จำเป็น  ทั้งที่เป็นแก่นสำคัญของคำสอนพระพุทธเจ้าเลยทีเดียวค่ะ   เราต้องการบอกเพื่อนๆว่า  มาฝึกปฏิบัติกรรมฐานกันที่วัดเถอะค่ะ ที่วัดมีพลังบางอย่างที่ทำให้เรา(ผู้ฝึกใหม่)ฝึกปฏิบัติกรรมฐานได้ดีและก้าวหน้ามากกว่าอยู่ที่บ้าน  อย่ามีอคติกับวัดเลยค่ะ  อืม...เล่ามาเสียยืดยาว  เล่าต่อดีกว่าน่ะค่ะ เดี๋ยวจะไม่จบตอนนี้     

            วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ.2551 วันนี้เป็นวันที่นุ้ยกับพร จะลาสิกขากลับบ้านก่อน  หลังจากที่เราช่วยกันยื้อพรไว้ได้ถึง 5 วัน (ตอนแรกพรจะบวชแค่ 3 วัน  ซึ่งจะยังไม่ได้อะไร สำหรับผู้ปฏิบัติใหม่) พอถึงวันกลับทั้งนุ้ยและพรต่างไม่อยากกลับ  (ที่นี่อยู่แล้ว บวชแล้วจะติดใจค่ะ)  แต่จำเป็นต้องกลับเพราะติดธุระกับครอบครัว  พวกเราก็ลุ้นกันมากว่าจะกลับออกไปได้ยังไง  เพราะโทรเรียกแท๊กซี่แล้วเค้าก็ไม่เข้ามาที่นี่  ต้องรอคนมาทำบุญแล้วขอติดรถออกไปลงที่ปากทาง (ถ.รังสิต - องรักษ์) ถ้าไม่มีรถขับมาเองการเดินทางเข้า -  ออกที่นี่ก็ลำบากหน่อยนะคะ (ต้องทำใจค่ะ) แต่ก็ดีนะคะ ทำให้เราได้อยู่ที่วัดนานขึ้น กว่าเพื่อนๆจะได้กลับออกไปก็เกือบเพล (หลังจากที่ตั้งใจว่าจะกลับออกไปช่วงเช้า)

            เกือบเที่ยงวันนี้พี่สวยกับคนขับรถก็มาถึงวัด พี่เค้าก็ซื้ออาหารมาถวายเพลด้วย  ผลจากการที่เราพยายามกล่อมพี่สวยให้เห็นประโยชน์ของการปฏิบัติธรรมถือศีลภาวนา  พี่สวยเลยตัดสินใจว่าจะมาบวช 1 วัน 1 คืน  เป็นการเริ่มต้นก่อน  ก็เป็นเหมือนกับเราตอนที่เข้าวัดปฏิบัติใหม่ๆ คือ ขนของทุกอย่างมาหมด (แบบว่ากลัวลำบาก) เครื่องสำอางค์ก็หิ้วมาด้วย  อย่างน้อยขอทาครีมกันแดดกับแป้งทาหน้าหน่อยก็ดี (กลัวไม่สวย กลัวดำ กลัวโทรมจนยอมผิดศีล)  ก็ไม่เป็นไรเพิ่งจะเริ่มต้นก็แบบนี้แหละ

            หลังจากที่ถวายเพลเสร็จ  เนื่องจากอากาศที่ร้อนจัดมาก  พัดลมที่ศาลายาวมีไม่เพียงพอกับความต้องการ  พี่สวยเลยคิดจะถวายพัดลม  แต่ปรากฏว่า น้องบอมบอกว่าที่วัดมีพัดลมเยอะแล้ว (แต่ไม่ได้แกะเอามาให้ใช้นะคะ  ก็เก็บไว้ในห้องเก็บของนั่นแหละ ไว้ให้ห้องมันเย็นมั้ง) ที่วัดยังขาดกระติกน้ำร้อน  พี่สวยก็เลยสั่งให้คนขับรถไปซื้อกระติกน้ำร้อนมาถวายหลวงพ่อ 6 ใบ (อนุโมทนาสาธุค่ะ) ไว้ใช้ในวัด  วันนั้นศาลายาวก็เลยคึกคัก เพราะมีกระติกน้ำร้อนแล้ว  พระอาจารย์ก็หา ชา กาแฟ ที่เค้านำมาถวาย มาตั้งไว้ให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้รับประทานกัน

            พอถึงเวลาบ่ายโมงก็ได้เวลาบวช พี่สวยก็อาบน้ำแต่งตัวมาทำพิธีบวช  แล้วก็พยายามปฏิบัติก็ทำได้ไม่นานหรอกค่ะ  เพราะไม่ค่อยมีสมาธินัก(มือใหม่หัดนั่งก็จะเป็นแบบนี้ทุกคนค่ะ) และอากาศร้อนด้วย (เคยแต่อยู่ในห้องแอร์ค่ะ)  พี่เค้าก็เลยใช้วิธีสนทนาธรรมกับพระอาจารย์แทน  อดทนปฏิบัติจนได้เวลาพักก็กลับมาพักผ่อนที่กุฏิกัน เราก็คอยให้กำลังใจพี่เค้าตลอด  พอถึงเวลาทำวัตรเย็น  เราก็เดินมาที่ศาลายาวกัน  ขณะที่กำลังทำวัตรเย็นอยู่ก็มีคนโทรเข้ามาที่มือถือพี่สวย ๆรับและคุยแล้ววางอยู่หลายรอบ  จนกระทั่ง คิดว่าไม่อยู่แล้วดีกว่าจะขอลาสิกขาเลย เพราะที่บ้านมีปัญหา  พี่เค้าต้องรีบกลับไม่จัดการสะสางก่อน เราก็เลยบอกว่าให้อดทนก่อน สวดมนต์เสร็จค่อยกลับ จะกลับตอนนี้เลยไม่ได้ พี่เค้าก็พยายามอดทน จนพระนำสวดมนต์เสร็จและนำปฏิบัติกรรมฐาน พี่เค้าก็เลยขอลาสิกขา รีบเก็บของกลับบ้านด่วนเลย ไม่ยอมลาหลวงพ่อด้วย ทิ้งน้ำแอ๊ปเปิ้ลกับมาม่าไว้ให้เราดูต่างหน้า (เราเอาน้ำไปถวายพระและเอามาม่าไปเลี้ยงปลาหน้ากุฏิ) เฮ้อ...เราขำก็ขำ  สงสารก็สงสาร  พี่เค้ายังปล่อยวางไม่ได้ เราก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ดีนะที่พี่เค้ากลับก่อนที่จะต้องผจญภัยกับยุงเจ้าที่ ที่เราต้องยอมมันทุกอย่าง และต้องคอยแผ่เมตตา แผ่บุญให้มันตลอด ไม่งั้นมีตบแน่นอน

            ถ้าได้อ่านหนังสือเรื่อง  เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน ของดังตฤน  จะรู้ว่า ทำไมชาตินี้คนเราเกิดมาต่างกัน  เราคิดว่าชาติที่แล้วพี่สวยคงทำ ทานไว้เยอะ  ชาตินี้ถึงได้เกิดมารวยมีสมบัติมากมาย  ชาติที่แล้วพี่สวยคงถือศีลมาตลอด  ชาตินี้ถึงได้เกิดมาสวยมาก  ขนาดอายุเยอะแล้วยังสวยอยู่เลย  ชาติที่แล้วพี่สวยคงเจริญภาวนาจนเป็นนิสัย  ชาตินี้พี่สวยถึงได้เกิดมามีสติปัญญาดี  เรียนจบด๊อกเตอร์  ทำธุรกิจประสบความสำเร็จมากมาย  แต่น่าเสียดายที่ชาตินี้  พี่สวยเลือกที่จะทำทานอย่างเดียวเท่านั้น

            คืนนั้น  เราก็ได้นอนกุฏิเบอร์ 4 คนเดียว  อย่างเดียวดายและหวาดผวา  เพราะเพื่อนๆหรือ กัลยาณมิตรกลับกันหมดแล้ว  ก็นอนทำใจกับความกลัวต่างๆ กลัวอ.นัท นางไม้ พญานาค (ยิ่งได้ยินเสียงน้ำที่กุฏิดังโครมๆ ยิ่งกลัว  ปลาตัวใหญ่มากค่ะ ฮุบน้ำแต่ละทีได้ยินแล้วใจเสียเลย) และนารีผล  (จิตตกอย่างหนักเลยเรา)  เราน่ะสารพัดจะกลัว  ความคิดมันฟุ้งซ่านไปหมด  ยิ่งวันนี้มีแต่เรื่องวุ่นวาย ก็เลยทำสมาธิได้ไม่ดีเลย  ในที่สุดต้องโทรให้คุณต้นช่วยแสดงธรรมอันประเสริฐและสวดมนต์ให้ฟังจนจิตใจเราสงบลงได้  และกำหนด พองหนอ ยุบหนอ” จนหลับไป

 

หมายเลขบันทึก: 179328เขียนเมื่อ 28 เมษายน 2008 23:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 18:02 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

หลวงพ่อจะแนะนำให้สวดมนต์ สวดอิติปิโสแบบถอยหลัง 109 จบ

สุดยอดเลยค่ะ อิติปิโสแบบถอยหลัง 109 จบ ไม่เคยได้ยินเลย

ทุกวันนี้ตอนเช้าแอร์ก็ตื่นมาสวดมนต์ตอนตี 5 ครึ่ง ตามหนังสือสวดมนต์ของหลวงพ่อจรัญนะคะ จริง ๆ ท่านให้สวดอิติปิโสเท่าอายุ + 1 แต่แอร์ท่อง 9 จบเองค่ะ แบบว่ารวบรัดนิดนึง เพราะ ต้องนั่งสมาธิต่ออีกประมาณ 30 นาที รวม ๆ ทั้งหมดก็ชั่วโมงนึงได้ แล้วการสวดแบบนี้สวดเพื่อสะเดาะเคราะห์หรือว่ายังไงคะคุณแพร

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท