"มาเร็วๆ มึง"
เราหันไปมองตามเสียงเพราะว่า เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงเด็กเล็กๆ เอง ภาพที่ปรากฎต่อหน้า คือเด็กชายวัยประมาณ 8 -9 ขวบ สามคนวิ่งแทรกกลุ่มคนำลังทยอยเข้าทางเข้าโรงหนัง ตรงที่เขาเก็บตั๋ว หน้าตามอมแมม สันนิษฐานว่าคุณพ่อคุณแม่คงเป็นพ่อค้าแม่ค้าในสถานีนั้นนั่นเอง เห็นแล้วก็อดขำกิริยานั้นไม่ได้
"ไอ้....รอกูด้วย"
ไอ้ภาษา กับการวิ่งซุกซนดูไม่ใช่ประเด็นใหญ่ที่เราจะติดใจเท่าไรนัก
แต่ หลังจากนั้นเรามองตามไปว่า น้องกลุ่มนี้จะวิ่งไปไหน พวกเด็กๆไปหยุดตรงราวบันได้สแตนเลสสีเงิน แล้ว ปีนขึ้นไปนั่งบนราวบันได 1 .. 2....3...ไปปปปปปปป
ทั้งสามก็ค่อยๆปล่อยตัวลงมากจากราวบันไดอย่างสนุกสนาน ระยะทางและความชันของบันได้ที่สูงมากทำให้เรา เริ่มกังวลว่า มันจะอันตรายไปไหม และ จริงๆก็ไม่ใช่ที่ๆเด็กจะมาเล่นกันแบบนี้..
นึกแล้วก็เลยสะท้อนถึงเรืองที่เคยเขียนไว้ในบันทึกก่อนหน้านี้ ว่าเราไม่มีพื้นที่เล่นให้เด็กจริงๆ..เด็กในเมืองต้องอาศัยเล่นสนุกในห้าง ในร้านเกม โดยไม่มีใครดูแลและไม่ปลอดภัย
ถ้าเด็กเหล่านั้นตกลงมาและเกิดอุบัติเหตุ พ่อแม่เขาจะรู้เป็นคนท้ายสุดหลังจากลูกอยู่โรงพยาบาลแล้วอย่างนั้นรึ?
เราคงไม่ได้ขาดแค่ พื้นที่ทางกายภาพแล้วกระมัง พื้นที่ในหัวใจที่จะเอาเรื่องเด็กของเราใส่เข้าไปก็น้อยลงไปทุกทีๆ
แต่เรายังคงคาดหวังจะให้คนอื่นในสังคมมาดูแลลูกเรา คุณครูต้องสอนลูกเราดีๆ คุณหมอต้องรักษาลูกเราเต็มที่ และอื่นอีกมากมาย..สังคมต้องดูแลเรานะ
แต่แล้ววันนี้..พ่อแม่คะ..ดุแลลุกตัวเองดีพอที่จะให้เขาไปอยู่ในสังคมหรือยัง?
สวัสดีค่ะอี๋
บันทึกนี้ดีจังค่ะอี๋ อ่านแล้วสัมผัสถึงหัวใจคนเป็น "แม่"
ตอนพี่เด็กๆ แถวบ้านไม่มีห้างสรรพสินค้า ไม่รู้จักลานเด็กเล่น ไม่มีของเล่นแพงๆ
ก็พี่เล่นกับเพื่อนๆ อยู่แถวบ้าน เล่นขายของ เก็บดอกไม้ ใบไม้
เก็บทางมะพร้าวแห้งๆ มาสร้างเป็นบ้าน แล้วรักจะอยู่มากกว่าบ้านจริงๆ
เล่นจนเย็นจนค่ำตัวดำ จนแม่ๆ ของลูกๆ ถือไม้เรียวมาไล่กลับบ้าน
พี่คิดว่าสิ่งที่ไม่มี เราสร้างได้ค่ะ ขอแต่ให้เริ่มเห็นความสำคัญและจำเป็นกันก่อน
ในเมื่อพื้นที่ทางกายภาพสร้างได้ พื้นที่ทางจิตใจก็สร้างได้เช่นกันนะคะ
เพียงแต่ต้องเริ่มแล้ว...อย่าปล่อยให้เนิ่นนาน
ขอบคุณจ๊ะ :)