"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่าการก้าวไปข้างหน้า เราต้องก้าวไปอย่างมั่นคง เหมือนกับบ้านก็ต้องมีเสาเอกที่มั่นคง ต้องมีการวางรากฐานของบ้าน"
สวัสดีตอนเช้าค่ะ ...บันทึกก่อนหน้าได้นำปาฐกถา ของ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ในหัวข้อ ปรัชญาความเป็นผู้นำ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาคัดลอกให้ได้อ่านกันค่ะ เห็นว่าเป็นเนื้อหาดี ๆ มีประโยชน์ ที่ไม่สามารถเล่าได้ละเอียดเท่าการคัดลอกมาให้อ่านทั้งชุด ..ถึงตอนนี้จะพยายามให้จบนะคะ...
...14 ปีที่แล้ว ทรงเรียกขึ้นไปเฝ้าที่สกลนคร ทรงรับสั่งว่าทำแบบราชการแล้วช้า เสร็จไม่ทันการ ลองทำแบบโง่ดีกว่า ผมก็งงทำแบบฉลาดยังเสร็จไม่ทันเลย ทำแบบโง่จะเสร็จได้อย่างไร ทรงตอบว่าก็ทำแบบ NGOs ไง ทรงมีพระอารมณ์ขันเป็นอย่างมาก ถึงพระราชกรณียกิจจะมากมายก็ตาม
ในครั้งนั้น พระองค์ทรงจัดตั้งมูลนิธิชัยพัฒนา ผมเองเป็นคนไปจดทะเบียน พอไปส่งเอกสาร ก็พบพนักงานเสียงเขียวถามทำไมนายกไม่มาเอง? เลยบอกไปตรง ๆ ว่านายกติดธุระ นายกบ้านอยู่ไหน? บ้านเลขที่เท่าไร? ฟังแล้วผมเองก็ตอบไม่ถูก นายกทำอาชีพอะไร? ผมเลยบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน เห็นทำหลายอย่าง ที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง อาชีพก็ไม่มี ไหนเอาชื่อนายกมาดูซิ พอเห็นชื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นนายกมูลนิธิเท่านั้นแหละ 7 นาทีจัดการทำเอกสารจนเสร็จเรียบร้อย
พระราชทานชื่อมูลนิธิชัยพัฒนา ก็เพราะพระองค์ทรงเห็นว่า การต่อสู้กับความยากจนและความอดอยากของราษฎรเปรียบเสมือนกับการเข้าสงคราม เปรียบได้ดังตราสัญลักษณ์ของมูลนิธิอันประกอบด้วย รูปพระแสงขรรค์ชัยศรี อันเป็นตัวแทนพระองค์ที่เป็นผู้นำกองทัพ รูปธงกระบี่ธุช เปรียบกับพสกนิกรชาวไทยที่ร่วมรบกับพระองค์ รูปดอกบัว แทนความบริสุทธิ์ ความเบิกบาน และรูปสุดท้ายเป็น รูปพระสังข์หลั่งน้ำ เปรียบดังการหลั่งประโยชน์สุขความเจริญให้กับพสกนิกรทั่วทั้งแผ่นดิน คือชัยชนะนั่นเอง
คำว่า ประโยชน์ นั้นพระองค์ดำริว่าไม่ใช่ประโยชน์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเป็นประโยชน์สุขก่อให้เกิดผลดีและความสุขใจ อาทิเช่น ถนนรอบเมืองหาดใหญ่ จัดว่าเป็นประโยชน์ แต่เป็นประโยชน์ทุกข์เพราะเมื่อฝนตกน้ำจะท่วมเมืองหาดใหญ่ เนื่องจากถนนล้อมรอบไม่มีทางออกของน้ำ ทั้ง ๆ ที่เมืองหาดใหญ่ติดชายทะเล หรือพื้นที่กลางถนนก่อนถึงจังหวัดเพชรบุรี ได้มีการนำต้นสักมาปลูก สักเป็นไม้ขนาดใหญ่เมื่อเจริญเติบโตขึ้นก็จะเกะกะ ต้องมีการตัดทำลายตั้งแต่ยังมีขนาดเล็ก จัดเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ ซ้ำยังเสี่ยงการต่อต้านจากพวกอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามมาอีก เมื่อจะตัดเมื่อต้นโตเต็มที่แล้ว
พระองค์ทรงสอนว่า จะทำการอะไรนั้น ให้ยึดหลักภูมิสังคมเป็นหลัก แต่ละสังคมนั้นต้องใช้สิ่งที่เหมาะสมกันไปตามแต่สภาพภูมิสังคมนั้น ๆ อย่างเช่นการปลูกบ้านยกใต้ถุนสูงของคนในจังหวัดเพชรบุรี เป็นวัฒนธรรมที่มีกันมายาวนาน ในฤดูน้ำหลากน้ำจะท่วม ชาวบ้านก็สามารถย้ายสิ่งของไปไว้ชั้นบนของบ้าน พร้อมกับยาเรือไว้พร้อมในเวลาน้ำท่วมก็ไม่เดือดร้อน เป็นหลักภูมิปัญญาง่าย ๆ ที่ยึดหลักภูมิสังคมซึ่งทุก ๆ สังคมก็จะมีวัฒนธรรมที่ดีงามต่างกันไป แต่จะรักษาให้คงอยู่ได้นานเท่าไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับคนในสังคมนั้น ๆ เอง ...เคยไปกล่าวเปิดงานอนุรักษ์ควาย มีคนกล่าวรายงานว่า เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ควายเหลือ 2 ล้านตัว ปีที่แล้วเหลือควาย 7 แสนตัว ถ้าปล่อยไปอย่างนี้ ควายสูญพันธุ์แน่ เลยกล่าวออกไปว่า จริง ๆ แล้วไม่สูญพันธุ์หรอก เพราะยังเหลือควายอีกตั้ง 65 ล้านตัว และข้างบนนี้อีก 1 ตัว เพราะ ฅ ฅน ถูกลบไปหมดแล้วเหลือแต่ ค ควาย เพียงตัวเดียว
ย้อนกลับไปในครั้งที่เป็นเลขาฯ สภาพัฒน์ ผมมุ่งให้ประเทศไทยกลับไปสู่แนวทางเดิม ไม่ยึดติดกับความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากจนเกินไป เพราะไม่ได้สร้างประโยชน์สุขเลย กลับเอาคนเป็นศูนย์กลาง แต่ในเวลานั้นเศรษฐกิจฟองสบู่กำลังเป็นที่นิยม คนจึงด่าผมกันทั้งเมือง วันนั้นเราต้องการเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย วันที่เราเดินทางสู่ อุตสา-หา-กรรม เป็นวันที่เราเริ่มเดินทางผิด เราต้องหาเงินด้วยการกู้สถาบันทางการเงินต่าง ๆ เราต้องนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และเราต้องนำผู้บริหารจากต่างประเทศเข้ามาด้วย เมื่อฟองสบู่แตกทำให้เราได้รับปัญหามาจนถึงทุกวันนี้
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่าการก้าวไปข้างหน้า เราต้องก้าวไปอย่างมั่นคง เหมือนกับบ้านก็ต้องมีเสาเอกที่มั่นคง ต้องมีการวางรากฐานของบ้าน" เสาเอกนี้มีความสำคัญมาก ตลอดจนรากฐานของบ้าน ถึงแม้ว่าเมื่อประกอบบ้านเสร็จแล้วก็จะไม่เห็นเสาเอกนี้อีกแต่เราจะสามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัยและมั่นคง เมื่อเราต้องกู้เงิน เราต้องหาเทคโนโลยี เราต้องนำเข้าเทคโนโลยี เราก็เหมือนบ้านที่ไม่มีเสาเข็ม หากจะเข้าสู่สากลจริง ๆ เราก็ควรค่อย ๆ ทำค่อย ๆ ไป สู่การพัฒนาอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ในช่วงที่ผมบวช ผมได้อยู่กับตัวเอง ได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง วันหนึ่งขณะที่กำลังรินน้ำชา สติกำลังตั้งมั่นอยู่ที่น้ำชาที่กำลังรินใส่แก้ว มีกระรอก 2 ตัววิ่งไล่กันอยู่ข้าง ๆ สติละไปเหลียวดูที่กระรอก พอหันกลับมาก็เห็นน้ำชาล้นแก้วหกลงสู่โต๊ะแล้วไหลลงเปรอะเสื่อด้านล่าง ด้วยความตกใจจึงวิ่งนำเอาสบงที่ซักแล้วนำมาเช็ด ทำให้ไม่มีสบงใส่ในวันรุ่งขึ้น น้ำชาที่ล้นก็ยังคงเป็นน้ำชาอยู่ แต่ไม่สามารถที่จะดื่มกินได้ เพราะเสียแล้ว ซ้ำยังทำให้ส่งผลเสียหายต่อสิ่งอื่น ๆ อีกด้วย ดังเช่นการพัฒนาไปสู่ความเจริญก้าวหน้าต้องอาศัยความพอดี มิฉะนั้นจะเกิดผลเสียหาย
ยกตัวอย่างเช่น มวยในรุ่นเล็ก ๆ เราสามารถเป็นแชมป์เปี้ยนโลกได้เพราะเราเป็นประเทศที่รูปร่างไม่สูงใหญ่นักรูปร่างเท่า ๆ กัน เราไม่เสียเปรียบใคร แต่ถ้าเป็นรุ่นใหญ่ ๆ เรามีโอกาสโด่งดังได้น้อยเพราะรูปร่างเสียเปรียบ ในเรื่องอาหารการกินก็เช่นกัน อาหารไทยของเราล้วนแต่มีรสชาติอร่อยลึกล้ำ แต่คนไทยส่วนใหญ่ยังไปสนใจอาหารต่างประเทศ แดกแฮมเบอร์เกอร์กันอยู่ตลอด ทำไมต้องใช้คำว่า "แดก" ภาษาไทยเป็นภาษาที่สมบูรณ์ที่สุด คำว่า "กิน" คำเดียวก็สามารถบรรยายออกมาเป็นกิริยาได้หลายลักษณะ เช่น แดก กิน ทาน รับประทาน สวาปาม แฮมเบอร์เกอร์ไม่สามารถใช้คำว่ารับประทานได้ก็เพราะมีขนาดใหญ่มากถูกออกแบบมาเพื่อปากฝรั่งโดยเฉพาะ เมื่อทานต้องอ้าปากให้กว้าง แล้วงับให้หมดภายใน 4 คำ จากนั้นดื่มโค้กตามเพื่อดันอาหารนี้ลงไปในท้อง อาการลักษณะนี้จึงไม่สามารถเรียกว่า "กิน" หรือ "ทาน" ได้ เคยเห็นคนพิการแขนด้วนทำแฮมเบอร์เกอร์โดยเอาแขนที่ด้วนเขี่ยขนมปังให้ตกลงพื้น จากนั้นใช้เท้าแหวกขนมปังให้เป็นสองซีก เอาเศษผักเศษเนื้อยัดเข้าไปแล้วใช้เท้าประกบกัน เท่านี้ก็เสร็จแล้ว "พร้อมแดก" ไม่ต้องใช้ภูมิปัญญาอะไร
อาหารไทยมีรสชาติอร่อย อีกทั้งประโยชน์เสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง ผสมสมุนไพรจากธรรมชาติช่วยให้ย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น เป็นภูมิปัญญาชั้นสูงที่ควรแก่การอนุรักษ์ไว้ รสชาติก็มีความหลากหลาย อย่างขนมจีนแกงไก่ ขณะที่กินขนมจีนแกงไก่อยู่นั้น เราได้รับรสชาตินุ่ม ๆ ของขนมจีน ขณะขบโดนเนื้อความหวานของเนื้อปนกับน้ำแกงได้รสชาติหวานมัน ขณะที่เคี้ยวอยู่ขบโดนเม็ดมะเขือพวงทำให้มีรสขม ๆ เข้ามาเพิ่มเปลี่ยนรสชาติถือว่ามหัศจรรย์ จะกินอาหารกันทีก็นั้งล้อมวง มีข้าวเป็นหม้อถ้าไม่พอก็หุงใหม่ สามารถเลี้ยงดูกันได้อย่างพอเพียง ผิดกับพวกฝรั่งที่มีชีวิตแบบการแข่งขัน ผู้ที่แข็งแรงกว่าย่อมอยู่เหนือคนที่อ่อนแอกว่า ตัวใครตัวมัน วัฒนธรรมการกินก็เช่นเดียวกัน อาหารแต่ละอย่างถูกทำมาเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น บางคนต้องการกินแบบฝรั่ง เห็นว่าอาหารอร่อยก็แบ่งปันให้โต๊ะข้างเคียง ทีนี้เลยส่งอาหารกันให้วุ่นไปหมด ขึ้นต้นแบบฝรั่งแต่สุดท้ายก็ลงเอยแบบไทย อันเป็นเรื่องของการปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกับหลักภูมิสังคม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอนว่า ก่อนจะทำอะไรนั้น ต้องมีคำ 3 คำคือ (1) รู้ เราต้องรู้ก่อนว่าเราจะทำอะไร อาทิเช่น การสร้างเขื่อน นักสิ่งแวดล้อมเชื่อแต่ความคิดของฝรั่ง ไม่มีความรู้ ไม่ได้ทำการศึกษา ฝรั่งบอกว่าเขื่อนทำลายธรรมชาติก็เห็นดีเห็นงามตามไปด้วย ผลสุดท้ายน้ำฝน 100 หยด นำไปบริหารใช้ได้เพียง 8 หยด อีก 92 หยด ทิ้งสูญค่าไป ไม่ยอมศึกษาให้ดีก่อนเอาแต่เชื่อฝรั่งจนเคยตัว คำที่ (2) คือ รัก ถ้ารู้แล้วอยู่เฉย ๆ ก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนเอาเอกสารวิจัยเก็บไว้ในตู้ คำว่ารักเปรียบเสมือนความเมตตา เป็นแรงผลักดันให้เอาความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่ความคิดเพียงความคิดเดียวย่อมมีความถูกต้องและรอบคอบน้อยกว่าการระดมความคิด เพราะฉะนั้นคำที่ (3) ก็คือ ความสามัคคี ทำงานอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อนและพร้อมอกพร้อมใจกัน มีความรู้ มีแรงผลักดัน คือความรัก ร่วมกันทำคือความสามัคคี งานก็จะสามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี บ้านเมืองก็มีการพัฒนาอย่างเป็นปึกแผ่น
แต่ถ้าไม่สามัคคีกัน มีความแตกแยก พวกนี้เหมือนพวกเชื้อโรค ถ้าเมื่อใดเราอ่อนแอมันก็จะเข้าสู่ร่างกายเราทำให้เราอ่อนแอลงไปอีก ในขณะเดียวกันในขณะที่เราแข็งแรงมันจะสามารถทำอะไรเราได้ นอกจากนี้เราก็ต้องเรียนรู้ถึงระบบอินเตอร์บ้าง ศึกษาภูมิสังคมของชาติอื่น ๆ บ้างว่าเขาไปถึงไหน อย่างพวกฝรั่ง วันดีคืนดีไม่ซื้อกุ้งเราบอกว่าเพราะอวนของเราไม่มีช่องเต่าออก ซึ่งมันไม่เกี่ยวอะไรกับกุ้งที่ขายให้เขาเลย เราก็ต้องมาลงทุนเปลี่ยนอวนหมด เงินอีกร้อยสองร้อยล้านเพื่อซื้ออวนที่มีช่องเต่าออก เวทีสากลนั้น คือผลประโยชน์ใคร ผลประโยชน์มัน ในหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า "The Millionaire Next Door" เป็นหนังสือที่นำเศรษฐี 120 คน มาอธิบายการดำรงชีวิต ซึ่งทุกคนใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักในการดำรงชีวิตตั้งอยู่ในความพอดี ศึกษาภูมิสังคมของตัวเราให้รู้แจ้งชัดเสียก่อน จากนั้นใช้ความรักเป็นแรงผลักดันให้เอาความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ และทำงานจนเกิดความสำเร็จ
คนไทยทุกคนจึงควรมีแนวทางการดำเนินชีวิตตามรอยพระยุคลบาทขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยู่ในศิลธรรม ศึกษาภูมิสังคมของตนเอง ทำงานโดยใช้ รู้ รัก สามัคคี ก็จะสามารถพัฒนาชีวิตให้พบกับความปกติสุขได้ทั้งกายและใจ
....ขอบคุณที่ติดตามจนจบค่ะ ....ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ทั้งกายและใจ ...ด้วยรักและศรัทธา ...สีตะวัน