เมื่อมาสัมผัสตั้งแต่เริ่มเดินทางมาจนถึงบริเวณที่เห็นนี้ เริ่มเข้าใจข้อความที่จี๊ด จีรนันท์ เขียนไว้ในหนังสือของเธอและจินตนาการชัดขึ้นถึงวิถีชีวิตของเธอในช่วงเวลาก่อนที่นี่จะถูกรัฐยึดคืนมา
เธอเขียนไว้ว่า การดำรงชีวิตอยู่ 1 ปีเศษที่นี่ (ระหว่างปี 2519 – 2520 ) คนที่อยู่ต้องใช้แรงกาย ทำไร่ เกี่ยวข้าว ตำข้าว แบกหยวกกล้วยป่ามาสับเลี้ยงหมู ต้องอาศัยแรงใจอันแกร่งมหาศาลต่อสู้กับการคิดถึงบ้านและการทบทวนทำความเข้าใจกับตัวเองว่า “พวกเขามาอยู่อย่างนี้เพื่ออะไร”
คนที่มาที่นี่มาจากทุกสารทิศ มีชีวิตร่วมกันในป่าเขา จากบ้านเกิดเมืองนอนถึงไพรลำเนา ด้วยพวกเขามีอุดมการณ์เดียวกัน เมื่อออกจากป่า หลักสำคัญที่ทำให้คนเหล่านี้ยืนหยัดมีชีวิตอยู่ได้ คือ ครอบครัวและมิตรภาพ แม้ฐานะครอบครัวและพื้นฐานการศึกษาจะทำให้การมีชีวิตในสังคมเมืองในระหว่างคนเหล่านี้มีความแตกต่าง จนบางคนดูราวกับคนด้อยโอกาส
เธอเล่าบรรยากาศการอยู่ร่วมกันของที่นี่ว่า “มีความอบอุ่น สามัคคี มีพลังศรัทธาในใจของทุกคน” บ้านหลังหนึ่งที่นี่เป็นบ้านป่าแห่งแรกของเธอ ด้วยเงื่อนไขของป่า การตัดไม้แห้งมาลงมือก่อไฟและการหุงข้าวด้วยหม้อสนาม ถือเป็น Specific Competency ที่ทุกคนต้องมีความชำนาญ การกินอยู่ที่นี่มีเมนูประจำ คือ แกงเขียวหวานบัว แกงบัวลอย เมื่ออาหารขาดแคลนก็หุงนึ่งข้าวโพดที่โม่จนแตกร่อนครึ่งหนึ่งข้าวครึ่งหนึ่งกิน กับข้าวมีต้มจืดม้ง ผัดฟักทอง ผักลวกจิ้ม เก็บผักกูด เห็ดหูหนูจากป่ามากิน ที่ทันสมัยคือ มีชาให้ชงดื่ม และมีบุหรี่ให้สูบด้วย ใช้ใบชาเก็บจากดงชาป่ามาคั่วเก็บไว้ชงดื่ม เติมรสหวานด้วยน้ำตาลม้ง ที่มีชื่อเรียกว่า "สัวท่า" มีใบยาสูบหั่นตากแห้งไว้มวนสูบ แลกอาหารดิบจากม้งด้วยเงินหรือสิ่งของที่ฝากซื้อจากพื้นราบที่มีติดตัว
เธอเล่าว่า เวลามีคนบาดเจ็บที่ถูกยิงเป็นแผลใหญ่ เนื้อฉีกขาดกระจุยต้องเคลื่อนย้าย คนเจ็บที่รักษาที่ร.พ.ที่นี่ไม่ได้จะถูกแบกหามผ่านลงมาตามภูชันๆลัดเลาะไปให้ถึงเป้าหมายจากฐานหนึ่งสู่ฐานหนึ่งข้ามจังหวัด ด้วยเปลสนามสานด้วยหวายเส้นใหญ่ที่มีน้ำหนัก 2-3 เท่าของคนเจ็บ ใช้คนแบกไม่ต่ำกว่า 5-7 คน คนที่เคยไปเที่ยวที่นี่จินตนาการดูเถอะว่าคนเจ็บจะเป็นยังไง
หมายเหตุ
ภาพซ้ายบน คือ บ้านจีระนันท์ ภาพขวาบน เรือนขวาที่มีคนยืน คือ คุกไว้ขังนักโทษที่ลักทรัพย์และข่มขืนสตรี คุกนี้ไม่มีประตู เปิดปิดได้โดยการยกซี่กรงขึ้นลงทีละซี่ บ้านทางซ้ายของภาพ คือ ที่พักยามเฝ้านักโทษ ภาพซ้ายล่าง คือ ลำห้วยที่เดียวกับที่มีกังหันน้ำใหญ่
จากบ้านที่เธอพำนักเดินถึงบ้านที่ราบมีระยะทางครึ่งชั่วโมง การเดิน 1 ชั่วโมง ได้ระยะทาง 4 กิโลเมตร เธอเป็นครูสอนม้ง ให้อ่านออกเขียนได้ และคิดเลขเป็น ใช้ลานหน้าบ้านเป็นห้องเรียน มีกระดานดำใหญ่ไว้สอน ส่วน ณ บ้านพื้นราบ หน้าที่เธอคือการจัดการให้ครอบครัวม้งที่ภรรยาไม่รู้ว่าสามีไปเป็นสหายสามารถใช้ชีวิตแบบรวมหมู่ด้วยกัน และเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเด็ก ที่นี่มีเด็กอยู่ราว 30 ชีวิต
การใช้ชีวิตส่วนตัวของเธอเพื่อชำระล้างร่างกายอาศัยประปาที่ต่อท่อไม้ไผ่เป็นรางมาจากธารน้ำบนที่สูง ใช้ลำห้วยในการชำระร่างกายบ้าง เวลาลงห้วยใส่กระโจมอกลงอาบ อาบน้ำ 5 วันครั้ง การซักเสื้อผ้าใช้ผงซักฟอกซึ่งฝากเงินไปซื้อจากพื้นราบ ยามขาดแคลนก็ประยุกต์ใช้ท่อนเครือสะบ้าทุบให้แหลกแล้วกวนกับน้ำจนเกิดฟองแทน
7 เมษายน 2551
เก็บเกี่ยวมาจาก หนังสือ "อีกหนึ่งฟางฝัน บันทึกแรมทางของชีวิต เส้นทางของผู้หญิงคนหนึ่ง ณ จุดหักเลี้ยวของประวัติศาสตร์ เขียนโดย จีระนันท์ พิตรปรีชา
นี่คือ หน้าตา ของเจ้าลูกและต้นสะบ้า
ไม่มีความเห็น