จากบันทึกที่ ..1 ..2 ..3 เมื่อเวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ เจ้าแมมก็ครองตำแหน่งขวัญใจของบ้านเราไปเป็นที่เรียบร้อย ดูเหมือนเหตุการณ์จะจบลงด้วยดี เจ้าแมวตัวดีก็ไม่มาเยี่ยมเยียนบ้านเราอีกเลย แต่แล้วความสงสัยที่ค้างคาอยู่ในใจ (ว่าทำไม๊..เจ้าแมมเปลี่ยนไป) ก็มีคำตอบ เมื่อวันหนึ่งคุณพ่อบ้านขับรถพาพวกเราผ่านหน้าปากซอย พี่เม่ยเหลือบไปเห็น เจ้าลูกสุนัขสีน้ำตาล ขนฟู ใส่ถุงเท้าขาว วิ่งเล่นอยู่กับพี่น้องมัน ที่บ้านเดิม ... เอ๊ะ! อะไรกันนี่...จึงบอกให้คุณพ่อบ้านหยุดรถดูหน่อย..
ใช่จริงๆด้วยค่ะ ลูกหมาตัวที่พี่เม่ยหมายตาไว้แต่แรก...ทำไมยังอยู่หน้าบ้านเดิมอีกล่ะเนี่ย แล้วเจ้าแมมล่ะ???
หันกลับไปมองหน้าคุณพ่อบ้านคนดี ก็เห็นรอยยิ้มแห้งๆแล้วอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า "ก็เมื่อวันนั้น พี่เม่ยบอกแค่ว่าบ้านปากซอย แต่ไม่ได้บอกว่าบ้านไหน มันมีสองบ้านไง จึงเข้าไปอีกบ้านหนึ่งซึ่งอยู่ติดกัน บังเอิ๊ญ บังเอิญ ก็มีสุนัขแม่ลูกอ่อนอีกครอกหนึ่งคือครอบครัวเจ้าแมมนี่แหละ พอเห็นหน้าเจ้าแมมก็คิดว่า "ใช่่" ก็ขอมาเลย
หยิบผิด! ค่ะ นี่คือการหยิบผิด ...(แต่ไม่ใช่ "ติ๊กผิด"นะคะ)
ว่าแล้วเชียว.. เราก็สงสัยตะหงิด ตะหงิด ว่าทำไมขนมันเกรียนเร็วจัง แถมยังสาละวันเตี้ยลงอีกด้วย แต่ก็นั่นแหละคงเป็นเพราะวาสนาชะตาเราต้องกัน เจ้าแมมจึงได้มาอยู่ที่บ้านพี่เม่ยจนบัดนี้ (...ตอนนี้กำลังปรึกษากันว่าเราจะเปลี่ยนชื่อเจ้าแมมเป็น เจ้าหยิบผิด แล้วไปขอตัวที่หมายตาไว้มาเลี้ยงคู่กัน ให้ชื่อว่า เจ้าหยิบถูก แต่แผนนี้ยังไม่ผ่านการลงมติของบ้านค่ะ)
ครอบครัวเราได้เรียนรู้จากสิ่งที่ได้กระทำลงไป ว่าจะทำการสิ่งใด ต้อง ตาดู หูฟัง ตั้งใจให้เข้าใจแจ่มแจ้งเสียก่อนแล้วค่อยดำเนินการ ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าอย่างนี้บ่อยๆ อาจจะเกิดผลเสียตามมาภายหลังได้.....