หมอบ้านนอกไปนอก(61): หนุ่มพเนจร


สวิส ประเทศเล็กๆที่ภูมิประเทศเป็นเทือกเขา ทะเลสาบ สามารถใช้เป็นจุดแข็งนำเงินตรามาพัฒนาประเทศด้วยสร้างความเจริญอย่างทั่วถึงจากการใช้ภูมิประเทศที่เป็นอุปสรรคต่อการเพาะปลูกมาเป็นจุดขายทางท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบและกระจายความเจริญกลับไปสู่ท้องถิ่น

 ในสัปดาห์ที่ 29 นี้ ผมไม่ได้อยู่ที่บ้านพักเพราะเป็นวันหยุดยาว ผมกับพี่เกษมจึงเก็บเสื้อผ้าใส่เป้สะพายหลังออกทัวร์แบบประหยัดกันโดยเริ่มที่โปรตุเกสและต่อไปที่สวิสเซอร์แลนด์เป็นเวลา 7 วัน ตอนนั่งเครื่องจากโปรตุเกสผมนึกถึงเพลงหนุ่มพเนจรที่ว่า “บนถนนหนทางซูเปอร์ไฮเวย์ หนุ่มพเนจรท่องไปตามฝัน ฝันของเจ้าดูเลิศล้ำลาวัลย์ ฝันเจ้าฝันว่าโลกพิสุทธ์เมลืองมลัง โอ้ยามนี้ระวีส่องแสงโรยรา สกุณาเจ้าบินตัดฟ้าสู่รัง บินไปเถิดเจ้านกน้อยผู้น่าชัง ตราบชีพยังชีวิตเจ้าก็ต้องบิน บิน บิน บิน บินๆป บินไป บินไปเหมือนใจนี้ เสียงดนตรีบรรเลงแม้ใจดิ้น ถึงจะเจ็บปวดช้ำน้ำตาริน ปีกยังบิน ตายังจ้องมองทาง บนถนนหนทางซูเปอร์ไฮเวย์ หนุ่มพเนจรกระเป๋าเดินทาง มุ่งไปเถิดสู่ขอบฟ้าลางๆ โลกไม่ร้างเพราะชีวิตเจ้ายังเดิน

สมาพันธรัฐสวิสเซอร์แลนด์ (Federal Republic of Switzerland) แดนในฝันของใครหลายคนนี้ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 26 แคว้นหรือพันธรัฐ (canton) มีเมืองเบิร์นเป็นเมืองหลวงประเทศและเมืองซูริคเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด เมืองบาเซิลเป็นอันดับสอง มีส่วนผสมของ 3 ชาติในประเทศเดียวคือเยอรมัน ฝรั่งเศสและอิตาลี พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสูงในกลุ่มเทือกเขาแอลป์ ที่ราบน้อย ตามหุบเขาเป็นทะเลสาบหลายแห่ง ทำให้เป็นประเทศที่มีทัศนียภาพที่งดงาม น่าเที่ยวชม เงินตราเป็นเงินฟรังส์สวิส อัตราแลกเปลี่ยนราว 2 ยูโรเท่ากับ 3 ฟรังส์หรือ 33 บาทต่อฟรังส์ เป็นประเทศที่มีค่าครองชีพสูงมาก

ลิกเตนสไตน์มีชื่อทางการคือ ราชรัฐลิกเตนสไตน์ (Principality of Liechtenstein) เป็นประเทศที่อยู่ในวงล้อมของประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล(Douby Landloked Country) มีพื้นที่ขนาดเล็ก อยู่ทางตะวันตกของทวีปยุโรป มีพรมแดนด้านตะวันตกติดกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และด้านตะวันออกติดกับออสเตรีย ภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขาสูง เป็นที่นิยมของนักเล่นกีฬาฤดูหนาว และยังมีชื่อเสียงในฐานะเป็นประเทศที่เก็บภาษีต่ำมากประเทศหนึ่ง เมืองหลวงคือวาดุซ ตั้งอยุ่บนฝั่งแม่น้ำไรน์ ทางตอนกลางของประเทศ แต่เมืองที่ใหญ่ที่สุดชื่อชาน ใช้ภาษาเยอรมันเป็นภาษาราชการ ได้เอกราชตั้งแต่ปี พ.ศ. 2349 การปกครองเป็นแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ มีเจ้าชาย ผู้สำเร็จราชการและนายกรัฐมนตรี พื้นที่ 164 ตารางกิโลเมตร (อันดับที่ 215 ของโลก) มีประชากรประมาณ 33,987 คน ใช้เงินสกุลฟรังส์สวิส แบ่งการปกครองออกเป็น 11 เทศบาล

วันอังคารที่ 25 มีนาคม 2551 เราออกจากสนามบินด้วยรถเมล์มาลงที่สถานีบูชิตแล้วเดินไม่ไกลเข้าที่พักเกือบบ่ายสองครึ่ง ทำอาหารกินกันด้วยความหิว แล้วออกเที่ยวต่อโดยนั่งรถรางสาย 14 จากสถานีบูชิตไปที่แกร์คอร์นาวัลเพื่อขึ้นรถไฟเที่ยว 16:30 น. ไปเที่ยวเมืองมองเทรอ (Montreux) ที่อยู่ถัดไปจากเมืองโลซาน ชั่วโมงหนึ่งถึงเดินลงไปเที่ยวชมเมืองจากแผนที่ที่ขอจากสถานีรถไฟ เป็นเมืองเล็กๆริมเขาและทะเลสาบ เราเดินเลาะริมทะเลสาบ คลื่นลมแรง ด้านตรงข้ามเป็นเทือกเขาสูง คลื่นกระทบฝั่งเสียงดัง ฝูงนกโผบินเหนือผืนน้ำ แวะซื้อของสำหรับทำอาหารที่ร้านโคออป ขึ้นรถไฟกลับเจนีวาเที่ยว 18:54 น.ถึงบ้านเกือบสามทุ่ม กินข้าวแล้วนอนพักเก็บแรงไว้ลุยวันรุ่งขึ้น

วันพุธที่ 26 มีนาคม 2551 ตื่นตีห้าออกจากบ้านไปขึ้นรถไฟไปเมืองเบิร์น (Bern) ผ่านทางโลซาน นั่งรถไฟชมทิวทัศน์สองข้างทางด้านหนึ่งเป็นเนินเขาที่ราบริมเขาอีกด้านหนึ่งเป็นทะเลสาบ ผืนหญ้าและต้นสนถูกปกคลุมด้วยหิมะเช่นเดียวกับบนยอดเขาสูงที่เห็นอยู่ไกลๆและหลังคาบ้าน ลงที่เบิร์น แคว้นเบิร์นเที่ยวบริเวณย่านเมืองเก่าที่ถูกขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลก ชมหอนาฬิกาชิทกล็อกเกอะและน้ำพุ

9:20 น. นั่งรถไฟต่อไปเมืองธุน (Thun) ของแคว้นเบิร์น เดินเที่ยวชมเมืองตามแผนที่ ไปตามแนวทางของทะเลสาบน้ำใสไหลเย็นสะอาดตา ท้องฟ้าคราม บนภูเขามีหิมะปกคลุม เดินข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้าม ลัดเลาะไปตามถนนที่ปูลาดด้วยหิน เราเดินขึ้นเขาไปชมปราสาทธุน แล้วเดินกลับมาข้ามสะพานไม้เก่าที่ให้คนเดินข้ามและด้านล่างช่วยกั้นทางน้ำให้เกิดความต่างระดับให้น้ำไหลแรงขึ้น

11:54 น. นั่งรถไฟต่อไปเมืองกรินเดลวัล (Grindelwald) เมืองเล็กๆท่ามกลางหิมะของแคว้นเบิร์น เป็นเมืองที่ตั้งตามไหล่เขาโอบรอบด้วยเทือกเขาสูง อากาศหนาวเย็น หิมะตกปรอยๆ ทั้งเมืองถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวสะอาดตา เราเดินลัดเลาะไปบนผืนหิมะอย่างเพลิดเพลินกับทัศนียภาพโดยรอบ จากเมืองนี้มีรถไฟไปอีก 1 ชั่วโมงถึงยอดเขายุงเฟรา

13:20 น. นั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองอินเทอร์ลาเกน (Interlaken) ของแคว้นเบิร์น เมืองเล็กๆ เงียบๆขนาบด้วยทะเลสาบสองข้างคือเบรียนเซอร์เซ่กับธุนเนอร์เซ่ ด้านหนึ่งของเมืองมองเห็นยอดเขายุงเฟราที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 3,454 เมตร เอกสารท่องเที่ยวของเมืองนี้มีบรรยายเป็นภาษาไทยด้วย เดินเที่ยวเมืองท่ามกลางทิวทัศน์ที่งดงามด้วยเทือกเขาหิมะและทะเลสาบ เหมาะสำหรับมาพักผ่อนหรือมาฮันนีมูน ไม่พลุกพล่านจอแจ

15:04 น. นั่งรถไฟต่อไปเมืองลูเซิร์น (Luzern) ของแคว้นลูเซิร์น ระหว่างทางสองข้างทางมีหิมะปกคลุมตลอด อากาศหนาวบนหลังคาหิมะคลุมเกือบยี่สิบเซนติเมตร มองเห็นเป็นชั้นน้ำแข็ง บางส่วนละลายไหลลงตามขอบหลังคาแต่ยังคงเป็นน้ำแข็งเหมือนหินงอกหินย้อยตามผนังถ้ำ ทะเลสาบกว้างใหญ่ท้องน้ำสีครามแข่งความงามกับท้องฟ้าสดใสเมื่อยามต้องแสงแดด ถึงลูเซิร์นเดินเที่ยวรอบทะเลสาบ ข้ามสะพานไม้เก่าคาเพลบรึ๊คเค่อ ข้ามแม่น้ำรอยส์ไปยังย่านเมืองเก่า บนสะพานมีภาพวาดประดับใต้หลังคา ทางขวามีหอน้ำแปดเหลี่ยมสูง 34 เมตรใช้จัดงานสำคัญๆ ชมเมืองเก่าแล้วขึ้นไปชมวิวบนกำแพงเมืองมูซก มาวเออร์ สร้างปี 1386 มีหอคอย 9 หอ เวลา19:05 น. ขึ้นรถไฟกลับเจนีวาถึงเวลา 21:00 น. ขากลับมืดแล้ว มองไม่เห็นทัศนียภาพสองข้างทางกลับบ้านนอนเกือบเที่ยงคืน

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม 2551 ออกจากบ้าน 7 โมงเช้า นั่งรถรางสาย 16 ไปลงที่สถานีริฟเวอร์ เดินชมเมืองเจนีวา (Geneva) ของแคว้นเจนีวา เมืองใหญ่ริมทะเลสาบที่ค่อนข้างจอแจ แม่น้ำโรนแบ่งเมืองออกเป็นสองฝั่ง เดินรับลมและชมบรรยากาศริมทะเลสาบยามเช้า มองเทือกเขามองบลังก์ที่สูงที่สุดในยุโรปบนสะพานมองบลังก์ น้ำพุจรวดเจ็ทโด (Jet-d’eau) ที่พ่นน้ำได้สูง 140 เมตร สัญลักษณ์ของเจนีวา ยังไม่เปิด ไม่มีเวลาเดินชมย่านเมืองเก่า เมืองนี้เป็นที่ตั้งขององค์การอนามัยโลก (WHO) สำนักงานสหประชาชาติภาคพื้นยุโรปและสภากาชาด

8:56 น. นั่งรถไฟไปเมืองมาตินีเพื่อต่อไปยังเมืองชาโมนีในฝรั่งเศส มีการเปลี่ยนรถไฟเป็นช่วงๆ จึงต้องตรวจสอบกับหนังสือตารางเวลารถไฟและจอมอนิเตอร์ที่สถานี ดูชานชาลาที่จะขึ้น ดูสถานีที่จะลงและสถานีปลายทาง ซึ่งมีข้อมูลแสดงไว้ดีมาก

11:01 น. นั่งรถไฟไปชาโมนี รถไฟวิ่งบนรางที่ลัดเลาะเลียบไปบนภูเขาสูงชันที่มีป่าสนขึ้นเรียงราย มองลงไปเบื้องล่างเห็นตัวเมืองอยู่ไกลๆกับแม่น้ำสีฟ้าครามที่ไหลคดเคี้ยวไปตามแอ่งที่ราบต่ำและหุบเหวเบื้องล่าง หิมะเกาะตัวเป็นน้ำแข็งปกคลุมพื้นดินเป็นหย่อมๆ หิมะตกโปรยปรายมาเป็นระยะๆ ผ่านสถานีซัลวานพื้นถนนเปียกเพราะหิมะละลายเป็นน้ำ ผ่านลอดอุโมงค์เป็นระยะๆ ภูเขาบางช่วงมองเห็นเป็นสีขาวของธารน้ำแข็งหลายสายจากยอดเขาลงสู่เชิงเขา ยิ่งไต่เขาสูงขึ้นยิ่งหนาว หิมะปกคลุมพื้นยิ่งหนาจนไม่เห็นพื้นดินหรือผืนหญ้าเขียว จอดหลายสถานี มีคนขึ้นลงไม่มาก เป็นหมู่บ้านเล็กๆ

รถไฟเคลื่อนตัวไต่ภูเขาสูงขึ้นไปอีก มองด้านข้างเป็นหุบเหวลึกมาก ด้านตรงข้ามเป็นภูเขาที่มีบ้านหลังเล็กๆปลูกเรียงรายกันไปเป็นระดับสูงต่ำตามพื้นที่แนวผา มองไปด้านหลังเห็นเหล็กรางรถไฟทอดยาวคู่กันเหมือนวางบนผืนพรมหิมะสีขาว ไปเรื่อยๆมีลำธารเล็กๆที่มีน้ำไหลกัดเซาะน้ำแข็งหิมะไหลเป็นทางคดเคี้ยวลงไปยังที่ต่ำ ลงเปลี่ยนรถไฟที่เลอชาเตลาร์ด (Le Chatelard) สถานีสุดท้ายของสวิสนั่งรถไฟฝรั่งเศสไปได้สถานีเดียวก็ลงเปลี่ยนอีกครั้งที่สถานีวัลลอซีนเปลี่ยนอีกครั้งนั่งต่อจนถึงชาโมนี (Chamonix-Mt. Blanc) ผ่านหมู่บ้านที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะหนาบนหลังคาหนากว่า 20 เซนติเมตร

เดินลงไปเที่ยวชมสภาพเมือง ถ่ายรูปกับวิวสวยๆท่ามกลางหิมะโปรยปราย มองยอดเขาสูงมองบลังก์ที่เห็นไม่ชัดนัก แล้วก็นั่งรถไฟกลับทางเดิม กินข้าวบนรถไฟ น่าทึ่งกับการพัฒนาประเทศของสวิสที่เป็นเทือกเขาสูง มีหมู่บ้านกระจายเป็นหย่อมๆบนเทือกเขาแต่สามารถจัดบริการขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟให้ไปถึงได้ทุกหมู่บ้านได้ใช้บริการอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่ได้กระจุกความเจริญด้านไว้แค่ในเมืองใหญ่แบบบ้านเราเท่านั้น เหมือนเพลงของจรัญ มโนเพชร”บ้านบนดอย บ่มีแสงสี บ่มีทีวี บ่มีน้ำประปา บ่มีโรงหนัง โรงนวดคลับบาร์ บ่มีแฟนต้าโคล่า เป๊ปซี่ บ่มีน้ำหอมน้ำปรุงอย่างดี แต่หมู่เฮามี มีน้ำใจ” แต่บ้านบนดอยที่สวิสมีให้หมดแต่เรื่องน้ำใจผมไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร เขาทำให้บ้านบนดอย “มีน้ำใช้ ไฟฟ้าสว่าง หนทางสะดวก บวกความปลอดภัยและสร้างวินัยคน” ได้

15:00 น. กลับถึงเมืองมาตินี (Matigny) เดินชมเมือง ทิวทัศน์รอบๆ ผมเห็นทิวทัศน์อันงดงามของสวิสแล้วนึกถึงเจ้าหลวงรังสิมันต์ แห่งแคว้นกาสิกกับเจ้าหญิงทรรศิกาแห่งแคว้นพันธุรัฐในเรื่องดั่งดวงหฤทัย ผมคิดว่าบรรยากาศในนิยายคล้ายๆกับในสวิสนี้ แต่ไม่ทราบว่าในใจของผู้แต่งจะเห็นด้วยหรือเปล่า

16:00 น. เดินทางถึงโลซาน (Lausanne) ของแคว้นโว ซึ่งเป็นจุดผ่านของรถไฟหลายขบวน ถือเป็นเมืองแห่งการศึกษา นั่งรถเมล์และเดินชมย่านเมืองเก่า ปราสาทเก่าแล้วเดินๆไปชมบรรยากาศริมทะเลสาบ

16:45 น. นั่งรถไฟกลับเจนีวา ถึงแล้วเดินเที่ยวชมในเมือง ไปดูน้ำพุเจ็ทโด กลับถึงบ้านแวะอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ก่อน วันนี้กลับบ้านพักเร็วและนอนเร็ว เอาแรงไว้ลุยวันพรุ่งนี้ต่อ ถือว่าเป็นความเชี่ยวชาญในการจัดตารางเที่ยวของพี่เกษมที่หนักวันเบาวันสลับกันเพื่อให้ร่างกายได้พัก

วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม2551 ออกจากบ้านหกโมงเช้านั่งรถไฟไปถึงเมืองเนอชาแตล (Neuchatel) ของแคว้นเนอชาแตลเวลา 8:35 น. ขึ้นรถเมล์และเดินชมเมืองย่านเมืองเก่า อาคารสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศสและบรรยากาศริมทะเลสาบยามเช้า

9:27 น. นั่งรถไฟต่อไปเมืองบาเซิล (Basel) ของแคว้นบาเซิล-ชตัดท์ รถไฟพาไปตามแนวเขาเช่นเดิม ชมทิวทัศน์สองฝั่งทางได้ มีทั้งภูเขาสูง ที่ราบเชิงเขา ทะเลสาบ ผ่านแปลงเพาะปลูกที่ราบเชิงเขาที่ทำเป็นแถวเป็นแนว ใช้พื้นที่ราบที่มีจำกัดอย่างคุ้มค่า เมืองนี้เป็นพื้นที่รอยต่อของสวิส ฝรั่งเศสและเยอรมัน ถึงตอน 11 โมง เดินชมเมืองแม่น้ำไรน์แบ่งเมืองออกเป็น 2 ฝั่งเมืองผสมผสานความเก่ากับความทันสมัยไว้ด้วยกัน

12:17 น. นั่งรถไฟต่อไปถึงเมืองซูริค (Zurich) ของแคว้นซูริค เรียบไปตามแนวแม่น้ำไรน์มองเห็นผืนดินฝรั่งเยอรมันอยู่ตรงข้าม ถึงเวลา13:25 น. เดินชมเมืองไปตามถนนริมฝั่งน้ำลิมมัทที่แบ่งเมืองออกเป็นสองฝั่ง ฝูงนกหลายหลายชนิดบินเล่นลมหาเหยื่อเหนือแม่น้ำนี้ ฝั่งขวาเป็นย่านเมืองเก่า หอคอยคู่โกรสมึนสเตอร์ หอนาฬิกาที่หน้าปัดใหญ่ที่สุดในโลก ฝั่งซ้ายเป็นย่านธุรกิจและถนนช็อปปิ้ง เจอคนไทยกลุ่มหนึ่งมาเที่ยวกับทัวร์ถ่ายรูปที่บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำ

14:37 น. นั่งรถไฟไปถึงเมืองซาร์กัน (Sargans) เวลา 15:30 น. แล้วลงต่อรถเมล์ไปเมืองวาดุซ (Vaduz) ของประเทศลิกเตนสไตน์ รถเมล์วิ่งไปตามถนนลาดยางแบบสองเลนผ่านไปตามหมู่บ้านรายทาง มองเห็นทิวทัศน์ของภูเขาสูงและที่ราบสองข้างทางดุจถูกขนาบข้างด้วยเทือกเขาสูงต่ำเรียงรายไปที่ยอดขาวโพลนไปด้วยการปกคลุมของหิมะ ถึงวาดุซลงจากรถแล้วเดินชมเมืองเล็กๆ ไม่พลุกพล่าน เดินขึ้นเขาเป็นระยะทางมากพอควรและชัน ชมปราสาทและทิวทัศน์ของเมืองที่อยู่เบื้องล่าง ชมภายนอกปราสาท ไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ โอบล้อมรอบทิศด้วยเทือกเขาสูง เจอพี่สาวคนไทยสองคนที่ทำงานอยู่ที่นั่น

17:20 น. ดวงอาทิตย์ใกล้ลับเหลี่ยมเขา นั่งรถเมล์กลับซาร์กัน แวะเที่ยวชมทิวทัศน์รอบๆสถานีรถไฟ ชมตะวันลับฟ้าที่ซาร์กัน 18:28 น. นั่งรถไฟกลับซูริค เปลี่ยนรถต่อไปโลซานและลงเปลี่ยนรถที่โลซานตอน 4:18 น.กลับเจนีวาถึงที่พักห้าทุ่มครึ่ง สวิสและลิกเตนสไตน์เป็นประเทศท่ามกลางเทือกเขาหินสูงชัน อากาศหนาวเย็น แหล่งเพาะปลูกน้อย แต่มีทิวทัศน์ของภูเขาและทะเลสาบที่สวยงาม ผมคิดว่าธรรมชาติให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ทุกประเทศเพียงแต่ว่าความสามารถในการใช้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับคนในประเทศนั้นๆ เขาสามารถนำจุดแข็งคือทิวทัศน์มาใช้เป็นจุดขายในการท่องเที่ยวนำเงินตราเข้ามาพัฒนาประเทศให้เจริญได้ ถ้าเรารู้จักนำจุดแข็งของเรามาใช้อย่างถูกต้องเราก็น่าพัฒนาได้เช่นกัน

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม 2551 ตื่นตีสี่ครึ่ง ออกจากบ้านตีห้า นั่งรถเมล์ไปที่สนามบินเจนีวาเกือบยี่สิบนาที ถึงสนามบินเช็คอินกับตู้อัตโนมัติแต่ก็ต้องไปให้พนักงานตรวจเอกสาร ขึ้นเครื่อง 7 โมงเช้า ใช้เวลาบิน 1:20 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินแห่งชาติบรัสเซลส์ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วขึ้นรถเมล์สนามบินกลับแอนท์เวิป นั่งรถรางกลับถึงบ้านตอน 11 โมงเช้า เป็นอันเสร็จสิ้นการเดินทาง

ในการเดินทางในเที่ยวนี้ผมได้ไป 4 ประเทศคือโปรตุเกส สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศสและลิกเตนสไตน์ ด้วยความสามารถและประสบการณ์ของพี่เกษมในการจัดเส้นทางท่องเที่ยว ถือว่าคุ้มค่ามากกับค่าใช้จ่ายราว 36,000 บาทที่อุตส่าห์อดออมจากเงินทุนรายเดือน สามารถแก้ไขภาวะวิกฤติจากการตกเครื่องบินไปได้และช่วงที่อยู่ในสวิสก็ประหยัดที่พักเพราะพักที่หอพักของหมอก้องและคำแนะนำกับกุญแจบ้านจากพี่นุส การเดินทางในสวิสเราซื้อตั๋วสวิสเซฟเวอร์พาสแบบสี่วันราว 160 ยูโร สามารถเดินทางด้วยรถไฟ รถราง รถเมล์ได้โดยไม่จำกัดจำนวนเที่ยวและระยะทางแม้จะข้ามไปฝรั่งเศสและลิกเตนสไตน์ก็ตาม สวนเรือล่องทะเลสาบก็ใช้ได้ในบางสถานี แต่ผมไม่มีเวลาล่องเรือและยังไม่ได้ไปแคว้นทางใต้ที่ติดกับอิตาลี

สวิส มีจุดแข็งอยู่ที่สภาพภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงและทะเลสาบมากมาย ถ้ามองอีกแบบหนึ่งอาจเป็นจุดอ่อนก็ได้เพราะไม่ค่อยมีที่เพาะปลูก แต่ผู้นำและคนสวิสเขามองว่าเป็นจุดแข็งและรู้จักทนุถนอมและใช้ประโยชน์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นำเงินตราเข้าประเทศได้มาก แต่เขาไม่ได้ขายแหล่งท่องเที่ยวอย่างเดียว เขาสนับสนุนและจัดระบบการท่องเที่ยวให้มีความเพียบพร้อมและสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย โดยเฉพาะเรื่องการเดินทางที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบทั้งรถไฟ รถราง รถเมล์และเรือ อีกทั้งถนนหนทางสำหรับการขับรถส่วนบุคคลไปได้ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวเขาอยู่กับสถานีรถไฟทุกสถานีไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ มีพนักงานไว้คอยให้บริการพร้อมทั้งเอกสารแผ่นพับ แผนที่ไว้แจกฟรี ห้องน้ำในสถานีรถไฟสะอาดและฟรี ส่วนในตัวเมืองก็มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอีก การรถไฟกับการท่องเที่ยวเขาทำงานร่วมกันได้ดีมาก สวิสไม่อยู่ในแช็งเกนแต่ให้กลุ่มแช็งเก็นวีซ่าเข้าได้

สวิสเป็นตัวอย่างที่ดีของระบอบประชาธิปไตยแบบเน้นเป้าหมาย ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบเน้นรูปแบบเหมือนบ้านเรา ที่ยังวุ่นกันไม่จบแม้จะทั้งปฏิวัติและเลือกตั้งกันแล้ว ประชาธิปไตยเน้นเป้าหมายของสวิสก็คือการสร้างความเสมอภาคและเท่าเทียมกันในโอกาสด้านต่างๆ แม้จะไม่สามารถสร้างมหาวิทยาลัยได้ทุกเมือง แต่เขาสร้างระบบขนส่งมวลชนโดยเฉพาะรถไฟที่ไปได้ถึงทุกเมือง ทุกหมู่บ้านแม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ห่างไกล คล้ายๆหมู่บ้านชาวไทยภูเขาของเรา ก็ได้นั่งรถไฟหรือรถโดยสารสาธารณะอย่างทั่วถึงกัน เด็กกับผู้สูงอายุก็มีราคาพิเศษหรือฟรีให้ ถ้าเดินทางเป็นกลุ่มหรือกับครอบครัวก็มีค่าโดยสารราคาพิเศษให้ การนำภาษีที่เก็บได้มาสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้พื้นที่ห่างไกลด้อยโอกาสเป็นการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมอย่างหนึ่งของรัฐบาลประชาธิปไตยที่มีเป้าหมายที่ประชาชน แม้เขาจะกระจายอำนาจให้แต่ละแคว้น แต่ละเมืองแต่ก็สามารถประสานการพัฒนาได้ดีมากจนไม่เกิดช่องว่างบริเวณรอยต่อเมืองได้

พิเชฐ  บัญญัติ

Verbond straat 52, 2000 Antwerp, Belgium

2 เมษายน 2551, 22.00 น. ( 03.00 น.เมืองไทย )

หมายเลขบันทึก: 174894เขียนเมื่อ 3 เมษายน 2008 03:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 01:10 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ขอบคุณครับคุณหมอ เข้ามาอ่านแล้วทำให้ได้ความรู้

สวัสดีเดือนเมษายน ครับ สุขสันต์ก่อนสงกรานต์ครับ

สวัสดีเจ้าค่ะ คุณน้าหมอ

โห!! หายไปนานเลย สบายดีหรือเปล่าเจ้าค่ะ คิดถึงคุณน้าหมอจัง คิคิ รักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าค่ะ

เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ ----> น้องจิ ^_^

สวัสดีครับคุณสู่อนาคตน่าน

เมืองน่านเป็นตัวอย่างของชุมชนเข็มแข็งหลายๆเรื่อง แต่ผมยังไม่ไคยไปเที่ยวเลย เอาไว้กลับเมืองไทยจะต้องหาโอกาสแวะไปเที่ยวชม ขอบคุณที่แวะมาอ่านครับ

สวัสดีครับอาจารย์เจเจ

ขอบคุณสำหรับคำอวยพรและHappy Songkrant Day เช่นกันครับ ที่เมืองแอนท์เวิปจะมีการจัดงานสงกรานต์ในวันที่ 12-13 เมษายน ที่ถนนคนเดินเช่นกันครับ รายละเอียดจะมานำเสนอต่อไป แต่คงไม่ได้เล่นสาดน้ำสงกรานต์เพราะอากาษยังคงหนาวต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียสครับ

สวัสดีครับน้องจิ

ตกลงเป็นนิสิตที่ไหนครับ น้าหมอขออวยพรให้มีความสุขเนื่องในวันปีใหม่ไทย "สุขสันต์วันสงกรานต์" ครับ

แวะเข้าไปดูรูปถ่ายจากเบลเยียมได้ที่ http://www.hi5.com/friend/profile/displaySameProfile.do?userid=166163859

ครับ

สุขสันต์วันสงกรานต์ แวะไปดูรูปถ่ายจากสวิสได้ที่ http.//pbanyati.hi5.com ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท