ในเทศกาลปี๋ใหม่เมืองล้านนามีการเล่นหลายอย่างในขณะที่พวกเขาว่างจากการดำหัว และมีการพักผ่อนตั้งแต่วันปากปี๋ถึงวันปากเดือนหรือปากยาม ซึ่งสุดเสี้ยงเทศกาลแล้วต้องทำงานหาเลี้ยงชีพกันต่อไปเป็นปกติ
*การเล่นบ่ะบ้าหรือสะบ้า ผู้คนจะเก็บเอาหน่วย(ลูก)สะบ้าจากป่า หรือบางทีก็ไหลตามน้ำมาไว้ลูกสะบ้าสีแดงลักษณะแบนค่อนข้างกลมคล้ายขนมครก การเล่นจะทำไม้แป้นทอย โดยการแต่งตัดแผ่นไม้ให้เป็นรูปครึ่งวงกลมประมาณสี่ห้าอันมาวางเรียแถวตามแนวกำหนด ผู้เล่นยืนห่างแนวแป้นทอยราว สี่ห้าวา แล้วนำลูกสะบ้าทอยให้ถูกแป้นล้มลงจนหมด ต่อไปนำลูกสะบ้าวางบนหลังเท้าเขย่งเข้าทอยแป้น จนหมดต่อไปใช้เท้าคีบลูกสะบ้าทอยแป้นจนหมด ถือว่าชนะ หรืออาจมีท่าอื่นๆอีกแล้วแต่จะกำหนดกันในแต่ละท้องถิ่น
*การเล่นต่อไปคือการเล่นอี่โจ้งหรือโยนหลุมโดยการใช้สตางค์แดงซึ่งเป็นเหรียญมีรูกลางมาควั่นพื้นดินให้เป็นรูขนาดสตางค์นั่นแหละ ผู้เล่นจะนำสตางค์มารวมกัน แล้วให้ผู้เล่นตกลงกันว่าใครจะโยนก่อนหลัง เมื่อเล่นจะถือสตางค์ทั้งหมดที่รวมกันมาโยนลงหลุม หากสตางค์อันใดเข้าหลุมถือว่าเป็นของผู้โยน แต่หากไม่เข้าหลุมก็จะมีการบอกให้เอาสตางค์ของผู้โยนทำการโยนเข้าหาสตางค์ที่ถูกกำหนดหากโยนถูกก็ถือว่าผู้โยนได้สตางค์นั้นไป
*การเตะตะกร้อพวกหนุ่มๆจะนำไม้ไผ่เฮี้ย(ไผ่บาง)มาจักตอกสานตะกร้อเล่นในเทศกาลปี๋ใหม่เมืองถือว่าเป็นการร่วมวงของพวกชายหนุ่มอาจมีเหล้าขาวแถมพกเตะไปดื่มไปม่วนแต๊ๆ บางครั้งหากหมู่บ้านอยู่ริมน้ำพวกหนุ่มจะพากันไปเตะตะกร้อที่เกาะหรือหาดทรายกลางน้ำตอนเย็นๆเป็นที่สนุกสนาน เล่นจนมืดค่ำก็ลงเล่นน้ำอาบน้ำกันในแม่น้ำใหญ่ ที่สำคัญขอจารึกไว้ในบันทึกนี้ว่า บรรดาชาวน้ำที่หากินกับการเหิงแฮ่(ร่อนกรวด)ในแม่น้ำโดยใช้เรือโกลน เมื่อถึงปี๋ใหม่เมือง บรรดาเจ้าของเรือจะนำเรือมาจอดโดยให้หัวเรือห่างกันและเรียงกันเป็นวงกลางแม่น้ำพอตกเย็นย่ำตะวันแลง บรรดานักเตะตะกร้อตัวยงและแม่นยำต่างก็มาร่วมวงเตะตะกร้อโดยแต่ละคนยืนอยู่บนหัวเรือแต่ละลำเริ่มโยนตะกร้อให้กันแล้วเตะโดยมิให้ตะกร้อตกน้ำ หากใครเตะพลาดต้องลงน้ำไปเก็บให้ผู้เล่นยังเหลือเตะแข่งกันต่อและต้องออกจากวงไป จนเหลือสองคนเตะตะกร้อหัวเรือแข่งกันจนเหลือคนสุดท้าย หากยังไม่มีใครเป็นผู้ชนะเย็นวันต่อไปก็จะมาแข่งขันกันอีก กีฬาการเตะตะกร้อบนหัวเรือปีสุดท้ายที่ได้พบราวปี พ.ศ. 2502 ในกลางแม่น้ำปิงที่บ้านป่ารวก อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่นั้นมาจนบัดนี้ยังไม่เห็นการเตะตะกร้อบนหัวเรืออีกเลย ตามที่เล่าจึงเป็นตำนานการเล่นในเทศกาลปี๋ใหม่เมืองล้านนา
การเตะตะกร้อบนหัวเรือนับเป็นสิ่งที่ท้าทายคนเตะเพราะต้องเก่งทั้งการเตะ การทรงตัวบนหัวเรือที่โคลงเคลงไปมา การออกแรงหนักเบาในการเตะลูกให้ถึงผู้เล่นที่อยู่บนหัวเรืออีกลำหนึ่งซึ่งห่างกันราวสองวาสามวา นี่คือนักกีฬาพื้นบ้านที่คัดเลือกจากความสามารถของผู้เล่นอย่างแท้จริงโดยผะหญาปัญญาของชาวบ้านที่ใช้สิ่งแวดล้อมมาจัดกิจกรรมได้ดีแท้ๆ
พ่ออาจารย์ที่เคารพ
การละเล่นของคนล้านนาในวันปีใหม่ คล้ายคนไต เพียงแต่วิธีการเล่นแตกต่างกันเท่านั้นเอง ข้อแตกต่างอีก 2 ข้อ คือ การดำหัวญาติผู้ใหญ่ชาวไตดำหัวก่อนขึ้นวัด ชาวล้านนาดำหัวหลังขึ้นวัด ข้อที่สองก็คือ การก่อเจดีย์ทรายหรือการขนทรายเข้าวัด ชาวล้านนาจะขนทรายเข้าวัดในวันเนา เพื่อเตรียมบูชาเจดีย์ทรายในวันขึ้นวัด (วันพญาวัน) แต่ชาวไตจะขนทรายเข้าวัดในเดือนหก (เดือนแปดล้านนา)ทำกิจกรรมประเพณีเป็นกิจจะลักษณะเรียกว่า "ปอยจ่าตี่" (ปอย แปลว่างาน จ่าตี่ แปลว่าเจดีย์) รวมความแปลว่างานถวายเจดีย์ทราย ครับ
ขอบคุณพ่ออาจารย์มาก ผมได้เรียนรู้จากผญ๋าล้านนาคือ พ่ออาจารย์อย่างจุใจโดยไม่ต้องไปสืบค้นที่ไหนอีกแล้ว
ขอบพระคุณมากครับ
อาจารย์เก
อิอิ ปี๋ใหม่ มาแล้ว พ่อลุงระวังฮือดีเน้อ ลูกหลานจะมาแอ่วหานาเกียมขนมข้าวหนักนักเน้อเจ้า
*สาอาจารย์เกและสวัสดีหลานเอ..เจ้า
-ขอบคุณอาจารย์เกที่เพิ่มเติมความรู้ทางไตให้ผม
-ขอบคุณหลานเอ...ที่บอกเอิ้นเกี่ยวกับปี๋ใหม่เมืองเฮา
*ขอมาแอ่วเต๊อะ หมู่เฮาตังหลาย บ่ว่าญิงจายลุงจักจื้นสู้ ได้ป้ะหน้ากั๋นได้เอ่ยได้อู้ กับหมู่เฮาเนอม่วนล้ำ...
ด้วยความปรารถนาดีจากลุงหนาน......พรหมมา
สวัสดีค่ะ
* การเล่นบะบ้า และอี่โจ้ง...ตอนเด็ก ๆ ครูพรรณา เคยเล่น...แต่ไม่ได้เรียกชื่อนี้.....และบัดนี้จดจำกติกาไม่ได้แล้ว
*การเตะตะกร้อบนหัวเรือ...ไม่เคยเห็นและได้ยิน....ผู้เล่นสามารถมากค่ะ
* ชอบข้อความนี้มากค่ะ การเตะตะกร้อบนหัวเรือนับเป็นสิ่งที่ท้าทายคนเตะเพราะต้องเก่งทั้งการเตะ การทรงตัวบนหัวเรือที่โคลงเคลงไปมา การออกแรงหนักเบาในการเตะลูกให้ถึงผู้เล่นที่อยู่บนหัวเรืออีกลำหนึ่งซึ่งห่างกันราวสองวาสามวา นี่คือนักกีฬาพื้นบ้านที่คัดเลือกจากความสามารถของผู้เล่นอย่างแท้จริงโดยผะหญาปัญญาของชาวบ้านที่ใช้สิ่งแวดล้อมมาจัดกิจกรรมได้ดีแท้
* ขอบคุณค่ะที่นำความรู้และเรื่องราวในอดีตให้ได้รำลึก
ไหว้สาอาจารย์พรรณาที่เคารพ..
*ผมอาจตอบช้าหน่อยเพราะไปสร้างหอพระอุปคุต....
*ขอบคุณที่มาเยี่ยมเยียนครับ
ด้วยความปรารถนาดีจากลุงหนาน..พรหมมา
วันนี้มีการรดนำดำหัวแก่ศึกษานิเทศก์อาวุโสสุด ซึ่งจะเกษียณอายุในปีนี้ ของกลุ่มนิเทศติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงใหม่ เขต 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานย่อยๆ ที่มีสมาชิก 30 คน
ท่านผู้อาวุโส ในวันนี้มีท่านพี่ครู นิคมของผมท่านนี้รวมอยู่ด้วย
นับเป็นกิจกรรมครั้งแรกหลังจาก 15 ปี ที่เห็นกิจกรรมนี้ดำเนินการโดยผู้ที่เป็นหัวหน้าที่ดำเนินพิธีการรดน้ำดำหัว แก่สมาชิกอาวุโส ที่อยู่ภายใต้การนำในการปฏิบติงานของตน
เห็นแล้ว ชื่นชมในความคิดริเริ่ม เกิดความคิดต่อยอดในทางสร้างสรรค์หลายแง่มุม
ผมอยากให้พี่ผู้อาวุโส นิคม ได้บอกเล่าถึงขั้นตอนที่เป็นมาตรฐานการปฏิบัติตามประเพณีที่ถูกต้องสู่กันฟัง แล้วผมจะเข้ามาพูดคุยต่อไป ว่าความดีความงามที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร
และเชื่อว่าประเพณีปี๋ใหม่เมือง ที่มีการรดน้ำดำหัวนี้ จะให้อะไรดีๆ แก่แฟนบลอกของท่านพี่นิคมแน่นอนครับ
ขอบคุณอาจารย์ชัดมากๆครับ...ที่แสดงความคิดเห็นในการดำหัว
ประเพณีล้านนามีแต่คำว่า"ดำหัว" ไม่มีคำว่ารดน้ำ ในวันที่พวกเราดำหัว ศน.อาสุโสรวมทั้งผมด้วยนั้นสังเกตว่า ผมไม่ให้พวกเราเอาน้ำรดมือ แต่ผมเอามือชุบน้ำส้มป่อยแล้วลูบศีรษะผมเอง เพราะปฏิบัติที่ว่าดำหัวเท่านั้น ปี๋ใหม่เมืองปีหน้าก็ไม่มีพวกผมอยู่กันอีกแล้ว แต่ถ้าพวกเราจะทำขอให้ปฏิบัติดังนี้
1.เตรียมเครื่องสักการะ น้ำขมิ้นส้มป่อยอย่างที่พวกเราทำในปีนี้
2.เชิญผู้อาวุโสมานั่งตามลำดับ
3.หัวหน้าพิธีกล่าวนำขอพร ขออโหสิกรรมทั้งหลาย
4.ยกเครื่องสักการะพร้อมทั้งบริวารทั้งหมดให้ผู้อาวุโสรับ
5.ผู้อาวุโสปั๋นปอน(ให้พร)เสร็จแล้วเอามือตัวเองชุบน้ำขมิ้นส้มป่อยขึ้นลูบศีรษะตนเอง อาจมีการนำก้านดอก ชุบน้ำขมิ้นส้มป่อยแผ้ด(ประพรม)ใหเก่ผู้ที่ขอพร ก็เป็นเสร็จพิธี ข้อห้ามอย่ารดน้ำที่มือเด็ดขาด เพราะคนล้านนาเชื่อว่าการรดน้ำที่มือคือการรดน้ำศพเท่านั้นครับ
ขอให้ประเพณีดีงามนี้สืบทอดต่อไป แม้ว่าลุงหนานจะอำลาจากวงการศึกษานิเทศก์ไปแล้วก็ตาม ขอบคุณพวกเราทุกคนครับ
ด้วยความปรารถนาดีจากลุงหนาน.....พรหมมา
ขอคุณครับ ท่านพี่นิคม
ผมฉลาดขึ้น ที่จะไม่ใช้คำว่ารดน้ำอีก
ขอเคลียร์คำว่า ดำหัวสักนิดครับ "ในวันที่เราดำหัว ศน.อาวุโส"
ดำหัว นี่ควรจะแปลว่าอะไรกันแน่ เพราะถ้าชัดเจนในคำว่าดำหัว ต่อไป ก็จะเข้าใจได้ถูกต้อง ดูคำในประโยคที่ยกมาแล้ว งงๆ จะแปลว่าอะไรดีคับพี่นิคม
การดำหัวผู้อาวุโสในวันสงกรานต์ล้านนา เป็นอะไรที่ดีงาม น่าประทับใจจริงๆ ที่พูดอย่างนี้เพราะผมมาสัมผัส เมื่อ15ปี ที่ผ่านมานี่เอง
ที่ต้องมานำคุยกันเรื่องนี้ ก็เพราะการดำหัวนี้ มีอะไรแฝงอยู่มากมาย
-ความกตัญญู
-ความสามัคคี
-การให้อภัยต่อกัน
-การแสดงความเคารพต่อกัน
-ความเป็นผู้นำผู้ตาม
ฯลฯ
ในเรื่องงาน โดยทั่วไป หัวหน้าองค์กรเป็นผู้นำ คนอื่น-ผู้อาวุโส , อ่อนอาวุโส เป็นผู้ตาม
ในเรื่องของการอยู่ร่วมกัน ผู้อาวุโส เป็นได้ทั้งผู้นำผู้ตาม
การดำหัวผู้อาวุโส ทีมีกระบวนการที่พี่นิคมกล่าวมา ถ้าหัวหน้าองค์กร เป็นผู้นำให้เกิดกิจกรรมนี้ขึ้น ก็เท่ากับ เป็นมงคนแก่ตนเอง และทุกๆ คน เพราะเป็นผู้นำที่สร้างสรรค์
ความกตัญญู ความสามัคคี การให้อภัยต่อกัน การแสดงความเคารพต่อกัน
กระบวนการนี้อาจนำไปใช้ หรือปรับใช้ ได้ทุกองค์กร รวมทั้งโรงเรียน
หรือ ท่านพี่นิคม และท่านอื่นๆ คิดอย่างไร
*ไหว้สาอาจารย์ชัดที่เคารพ
*เรื่องดำหัวขอให้ท่านคลิกไปอ่านเรื่องวันพญาวันที่ผมได้เสนอก่อนหน้านี้ จะเข้าใจดีขึ้นครับ
*การดำหัวสามารถปรับใช้ได้ทุกองค์กรครับเพียงแต่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามประเพณีดั้งเดิมที่มีความหมายตามที่บรรพบุรุษได้ให้รูปแบบไว้ครับ
ด้วยความปรารถนาดีจากลุงหนาน...พรหมมา