(25 ก.พ. 49) เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ
วิชาพระพุทธศาสนากับเหตุการณ์ปัจจุบัน ในหัวข้อเรื่อง
“พระพุทธศาสนาในสถานการณ์ของความเปลี่ยนแปลง :
ปัญหาและทางออก” แก่นิสิตระดับปริญญาโท
สาขาวิชาพระพุทธศาสนา ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
(พระมหาหรรษา เป็นผู้ติดต่อ พระมหาสมจินต์
เป็นคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย)
ได้บรรยายโดยเสนอว่าประเด็นที่น่าพิจารณาคือ
“ทำอย่างไรให้พระพุทธศาสนาช่วยแก้ปัญหาและสนองตอบความต้องการของคนและสังคมได้ดีที่สุด”
ซึ่งผมมีความเห็นว่าควรมีแนวทางการดำเนินการที่สำคัญ 4
ประการดังนี้
1. เพิ่มการปฏิบัติเรียนรู้และการจัดการความรู้บนฐานของแก่นแท้แห่งพระพุทธธรรม
2. ให้ผู้เป็นเจ้าของพระพุทธศาสนาเป็นผู้จัดการการใช้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนาในท้องถิ่นของตน
(เจ้าของพระพุทธศาสนาในท้องถิ่นควรประกอบด้วย (1) พระสงฆ์/นักบวช (2)
ชุมชน/ประชาชน (3) องค์กรที่สังกัดท้องถิ่น เช่น
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (4) องค์กรสังกัดนอกท้องถิ่น
ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดูแลพัฒนาพระพุทธศาสนา)
3. ปฏิรูประบบการบริหารจัดการคณะสงฆ์และศาสนสถาน
(ให้เป็นระบบที่เป็นประชาธิปไตย มีธรรมาภิบาล มีการกระจายอำนาจ
และมีกระบวนการมีส่วนร่วมจากผู้เกี่ยวข้องอย่างมีคุณภาพ กว้างขวาง
และต่อเนื่อง)
4. ขัดเกลา “สนิม” และ “กาฝาก”
ของพระพุทธศาสนาให้เหลือน้อยที่สุด (“สนิม” คือ
สิ่งไม่ดีที่สะสมอยู่ในพระพุทธศาสนาอันเนื่องจากความอ่อนด้อยและความไม่สมบูรณ์ต่างๆ
“กาฝาก” คือ สิ่งแปลกปลอม
ที่เข้าไปเอาประโยชน์จากพระพุทธศาสนาอย่างไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม)
ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
27 ก.พ. 49
แก้แบบโลกๆ ก็ได้ผลแบบโลกๆ
แก้แบบวิมุติ ก็ได้ผลแบบวิมุติ
เห็นด้วยกับข้อแรกครับ
การปฎิบัติจัดการความรู้นั้นมีธรรมะแฝงอยู่ด้วยจะทำให้คนปฎิบัติค่อยๆ ซึมซับไปได้ครับ
เพิ่มอีกข้อดีไหมครับ เรื่องเป้าหมายว่าธรรมะเรียนรู้ไปเพื่ออะไร อย่างที่คนไร้กรอบพูดครับ เราอาจต้องแสดงผลจากตัวผู้ปฎิบัติเองก่อนว่าได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง เพื่อเป็นแรงจูงใจครับ