ผมมองว่า ไม่ว่ายุคสมัยใด วิถีชีวิตชาวนาไทยก็ดูจะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก โดยเฉพาะแถวอีสานนั้นยังคงมีชะตากรรมที่หนักหน่วง
ในสมัยที่ยังเด็ก, ในท้องนามีน้ำขัง เคยได้วางเบ็ด ได้ปลูกผักและเก็บผักที่ขึ้นตามท้องน้ำอยู่หลายชนิด แต่ยังไม่พ้นมัธยม ท้องนาก็กลายสภาพอย่างเห็นได้ชัด น้ำขาดเขิน ปลาปูก็หายาก ..
การทำนาอาศัยธรรมชาติเป็นหลัก เมื่อธรรมชาติเปลี่ยนไปชาวนาก็จะต้องปรับ พัฒนา กระบวนการทำนา โดยรัฐต้องลงมาดูแล ศึกษา ค้นหา แนวทางที่เหมาะสมมากขึ้น
เรามีกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน และหน่วยพิเศษอีกหลายหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการทำนา จัดสัมมนาระดับชาติระดับท้องถิ่น โดยเอาข้อมูลจากครัวเรือนประจำแต่ละถิ่นแต่ละภาคมาคุยกันซะ
มิเช่นนั้นชาวนาก็ดิ้นไปตามสภาพของเขาเองซึ่ง ยิ่งดิ้นบ่วงหนี้สินก็ยิ่งรัดตัวเอง....
มันเป็นภัยธรรมชาติ, มันเป็นผลพวงของสารเคมีที่ตกค้างในเนื้อดิน และอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่พ่อเคยเปรยบ่น ... แต่ก็ยังดีครับ, ในครอบครัวของผมยังคงทำนากันเอง มีญาติมาช่วย พอถึงหน้าเกี่ยวก็แบ่งผลผลิตกันตามเห็นสมควร ..
สารเคมีเข้ามาเพราะราชการ นัยว่าหวังดี ซึ่งก็เป็นไปตามยุคสมัย สารเคมีตกค้างในดินมากครับ พี่เคยร่วมการสำรวจคุณภาพน้ำบ่อสร้างในอีสานกับ มหิดล พบว่าบ่อน้ำสร้างจำนวนไม่น้อยคุณภาพน้ำดื่มไม่ได้ ต้องกลบด้วยซ้ำไป แต่ไม่มีการประกาศเพราะกลัวชาวบ้านตกใจ งุบงิบแก้ไขกันไปเงียบๆ แต่ชาวบ้านจำนวนมากกินน้ำบ่อสร้างไปมากมายและเป็นสาเหตุโรคภันไข้เจ็บล้นโรงพยาบาล
กรมชลประทานไปสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นหลัก แทนที่จะกักน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อชาวนาชาวไร่ ซึ่งกลายเป็นวัตถุประสงค์รอง ต้องทบทวนกันหนัก
แต่บางครัวเรือน, รถบรรทุกข้าวเปลือกวิ่งจากทุ่งผ่านหน้าบ้านตัวเองไปสู่ตัวเมืองโดยไม่มีโอกาสได้เลี้ยวขึ้นยุ้งฉาง ...และนั่นคือภาพที่ผมเริ่มเห็นจนชินตา - แต่ยังไม่ชินหัวใจของตนเองสักเท่าไหร่ ...
เท่าที่ดูรัฐไม่ได้เข้ามาแก้ไขปัญหาชาวนาอย่างจริงจังเหมือนอุตสาหกรรม รัฐควรให้น้ำหนักชาวนาผู้ผลิตข้าวมากกว่านี้ หากปล่อยไปเรื่อยๆ ปัญหาหมักหมมมากไปรัฐก็กลายเป็นปัญหาสังคม แก้กันไม่จบสิ้น ไม่เบาบางลงมา มีแต่จะหนักขึ้น ครับ