ใน อิติ.อ.ปรมตฺถทีปนี สงฺฆาฏิกณฺณสุตฺตวณฺณนา หน้า 334 พระบาลี
มีอยู่ว่า
โส อารกาว มยฺหํ, อหญฺจ ตสฺสาติ โส
ภิกฺขุ มยา วุตฺตปฏิปทํ อปูเรนฺโต มม ทูเรเยว, อหญฺจ ตสฺสทูเรเยว.
เอเตน มํสจกฺขุนา ตถาคตทสฺสนํ รูปกายสโมธานญฺจ อการณํ,
ญาณจกฺขุนาวทสฺสนํ
ธมฺมกายสโมธานเมว จ ปมาณนฺติ ทสฺเสติ เตเนวห “ธมฺมํ หิ โส ภิกฺขเว
ภิกฺขุ น ปสฺสติ, ธมฺมํ อปสฺสนฺโตมํ นปสฺสตี”ติ. ตตฺถ ธมฺโม นาม
นววิโธ โลกุตฺตรธมฺโม, โส จ อภิชฺฌาทีหิ ทุสสิตจิตุเตน น สกุกา
ปสฺสิตํ,ตสุมา ธมฺมสฺส อทสฺสหโต ธมฺมกายํ จ น ปสฺสตี”ติ ตถา หิ
วตฺตํ:-
“กินฺเต วกฺกลิ อิมินา ปูติกาเยน
ทิฏฺเฐน, โย โข วกฺกสิ ธมฺมํ ปสฺสติ, โส มํ ปสฺสติ. โย มํ
ปสฺสติ,โส ธมฺมํ ปสฺสตี”ติ.
“ธมฺมภูโต พฺรหฺมภูโต”ติ จ
“ธมุมกาโย อิติปิ, พฺรหฺมกาโย อิติปี”ติ จ อาทิ
บทว่า โส อารกาว มยฺหํ อหญฺจ ตสฺส ความว่า ภิกษุนั้น
เมื่อไม่บำเพ็ญปฏิปทาที่เราตถาคต
กล่าวแล้วให้บริบูรณ์ ก็ชื่อว่า เป็นผู้อยู่ไกลเราตถาคตทีเดียว
เราตถาคต ก็ชื่อว่า อยู่ไกลเธอเหมือนกัน ด้วยคำนี้ พระองค์ทรงแสดงว่า
การเห็นพระตถาคตเจ้า ด้วยมังสจักษุก็ดี การอยู่รวมกันทางรูปกายก็ดี
ไม่ใช่เหตุ (ของการอยู่ใกล้) แต่การเห็นด้วยญาณจักษุเท่านั้น
และการรวมกันด้วยธรรมกายต่างหาก เป็นประมาณ (ในเรื่องนี้).
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าภิกษุนั้นไม่เห็นธรรม เมื่อไม่เห็นธรรม
ก็ไม่เห็นเราตถาคต ในคำว่า ธมฺมํ น ปสฺสติ นั้น มีอธิบายว่า
โลกุตรธรรม ๙ อย่าง ชื่อว่า ธรรม ก็เธอไม่อาจจะเห็นโลกุตรธรรมนั้นได้
ด้วยจิตที่ถูกอภิชฌาเป็นต้นประทุษร้าย เพราะไม่เห็นธรรมนั้น
เธอจึงชื่อว่าไม่เห็นธรรมกาย
สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า:-
ดูก่อนวักกลิ
เธอจะมีประโยชน์อะไร ด้วยกายอันเน่าเปื่อยนี้ที่เธอได้เห็นแล้ว
ดูก่อนวักกลิ ผู้ใดแล เห็นธรรม ผู้นั้น ก็เห็นเราตถาคต
ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้น ก็เห็นธรรม ดังนี้ และว่า
เราตถาคตเป็นพระธรรม เราตถาคตเป็นพระพรหมดังนี้ และว่า
เป็นธรรมกายบ้าง เป็น พรหมกายบ้าง ดังนี้ เป็นต้น
และก่อนที่ พุทธองค์ จะทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ได้ตรัสแก่พระอานนท์
ไว้ความว่า โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ
วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา (ที. มหา.
10/141/178 ) แปลว่า "อานนท์ !
ธรรมและวินัยใดที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่ท่านทั้งหลาย
โดยการล่วงไปแห่งเรา ธรรมและวินัยนั้น
ย่อมเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย"
ในสมัยพุทธกาลไม่มีพุทธบัญญัติให้กราบไหว้ รูปบูชา
มีแต่เพียงบัญญัติให้สังเวชนียสถานเป็นสถานที่ อันสาธุชนที่ควรเยือน
เพื่อธรรมสังเวช เพื่อเจริญธรรม การสร้างรูปบูชาเป็นเพียงรูปแบบ
ประเพณีปฏิบัติอันดีงาม เป็นอามิสบูชา ที่สาธุชนไม่ควร
หยุดยึดติดอยู่ที่เปลือก หรือทำให้เป็นอุปสรรคที่จะเข้าถึงธรรม
ในสมัยพุทธกาล สงฆ์ทั้งหลายก็มิได้กราบไหว้รูปบูชาของพระพุทธเจ้า
มุ่งปฏิบัติบูชา หาของดีที่ีมีอยู่ในเนื้อธรรม
อมรวัชร กอหรั่งกูล แสดงทรรศนะ ไว้ในบทความ นาคแปลงพุทธรูป ไว้อย่างมีนัยสำคัญความว่า
เมื่อเร็วๆ นี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยออกแคมเปญท่องเที่ยวไหว้พระ 9
วัดในกรุงเทพมหานครเพื่อเป็นสิริมงคลและขอพรให้สมปรารถนา
โดยกำหนดเลือกวัดที่มีชื่อเป็นสิริมงคลยกตัวอย่างเช่น วัดชนะสงคราม
เมื่อได้กราบไหว้แล้วก็จะรอดพ้นภัยพาลทั้งมวลไหว้พระวัดระฆัง
จะได้มีชื่อเสียงโด่งดังกังวานไกลเหมือนเสียงระฆัง
เป็นต้นทุกวันนี้พระพุทธรูปมีประโยชน์ใช้สอยที่เด่นชัดประการเดียวคือแสดงเดชฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องคุ้มครองผู้ที่มากราบไหว้ขอพรทั้งที่แนวทางปฏิบัติของชาวพุทธที่แท้นั้นสอนให้พึ่ง
ตนเองไม่ใช่วอนขอสอนให้ปฏิบัติธรรมเพื่อหลุดพ้นจากกิเลสของตนไม่ใช่ไปเชื่อมงคลตื่นข่าวซึ่งเป็นของภายนอกตนจนเป็น
เหตุให้กิเลสพอกพูนมากยิ่งขึ้น ปรากฏการณ์นี้บ่งบอกชัดเจนถึงการพลิกผันแปรเปลี่ยนไป
ในทางไสยศาสตร์แทนที่การกราบไหว้องค์พุทธรูปจะเป็นเครื่องเตือนใจชาวพุทธให้ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยจึงเกิดคำถามตามมาว่าเหตุใดกิจกรรมของชาวพุทธจึงหลุดตัวออกจากแนวทางพุทธที่แท้จริง?
ที่มา http://www.artgazine.com/shoutouts/viewtopic.php?t=230&view=next&sid=886338c968fcdfed50417a1594bff307
พุทธทาสภิกขุ
เองท่านก็ได้แสดงทรรศนะที่ไม่เห็นด้วยกับการ กราบไหว้วัตถุมงคล ไว้ใน
กาพย์ฉบัง 16 ที่ชื่อ กรรมดีดีกว่า(วัตถุ)มงคล
ความว่า
กรรมดี ดีกว่ามงคล
สืบสร้าง กุศล ดีกว่า นั่งเคล้า ของขลัง พระเครื่อง ตะกรุด
อุทกัง ปลุกเสก แสนฉมัง คาดมั่ง
แขวนมั่ง รังรุง ขี้ขลาด หวาดกลัว หัวยุ่ง กิเลส เต็มพุง มงคล อะไร
ได้คุ้ม อันธพาล ซื้อหา มาคุม เป็นเรื่อง อุทลุม นอนตาย ก่ายเครื่อง รางกอง ธรรมะ
ต่างหาก เป็นของ เป็นเครื่อง คุ้มครอง เพราะว่า เป็นพระ องค์จริง
มีธรรม ฤามี ใครยิง ไร้ธรรม ผีสิง ไม่ยิง ก็ตาย เกินตาย เหตุนั้น
เราท่าน หญิงชาย เร่งขวน เร่งขวาย หาธรรม มาเป็น มงคล กระทั่ง บรรลุ
มรรคผล หมดตัว หมดตน พ้นจาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย บริสุทธิ์ ผุดผ่อง
ใจกาย อุปัทวะ ทั้งหลาย ไม่พ้อง ไม่พาน สถานใด เหนือโลก เหนือกรรม
อำไพ กิเลสา- สวะไหน ไม่อาจ ย่ำยี บีฑา ฯที่มา
คู่มืออุบาสกอุบาสิกา ภาค๑-๒ สำนักสวนโมกขพลาราม ไชยา
เมื่ออ่านกาพย์ฉบัง 16 เรื่องกรรมดีดีกว่า(วัตถุ)มงคล ซึ่งประพันธ์โดย
พุทธทาสภิกขุ ก็ติดใจคำศัพท์อยู่สองคำ ได้แก่คำว่า อุทกัง และ อุทลุม
ข้าพเจ้าจึงได้ลองค้นจาก พจนานุกรมออนไลน์ของ ราชบัณฑิตยสถาน
สอบจากเครือข่ายพจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน สันนิษฐานว่า อุทกัง มาจาก
อุทก จึง หาความหมายของคำว่า อุทก ได้ความว่า
คำ : อุทก; อุทก-
เสียง : อุ-ทก; อุ-ทก-กะ-; อุ-ทะ-กะ-
ชนิด : น.
ที่มา : (ป., ส.)
นิยาม : น้ำ.
อ้างใน http://www.royin.go.th
กวินทรากร
คำว่า อุทลุม ไม่เคยเจอเหมือนกันและยังนึกไม่ออกว่าจะมาจากบาลีหรือไม่ ?
เคยคิดว่า อุทลุม อาจโยงเข้ากับคำขออุปสมบท ซึ่งขึ้นต้นว่า....
คำขออุปสมบทนี้ เรียกกันตามภาษาวัดๆ ว่าบท อุลลุม ซึ่งสมัยก่อนห้ามเจ้านาคเรียน (ฝึกท่อง) โดยให้เรียนบทอื่นๆ ก่อน จนยังอีก ๒-๓ วันจะบวช จึงให้เรียนบทนี้... โดยเชื่อกันว่า นาคตนใดเรียนบทนี้ก่อนจะมีอุปสัคให้ไม่ได้บวช เช่น ต้องคดี สาวหนีตามมา อุบัติเหตุ ฯลฯ
แต่สมัยนี้ นาคที่อยู่วัดหลายๆ เดือน หรือเป็นปีๆ หมดไปแล้วจากสังคมวัด ดังนั้น ความเชื่อเรื่องนี้จึงพลอยเลือนหายไปด้วย....
เมื่อพิจารณาว่า อุทลุม กับ อุลลุม ออกเสียงคล้ายๆ กัน และความหมายก็บ่งชี้ว่า ไม่เหมาะสม เหมือนกัน.... จึงอาจเป็นไปได้ว่า อุทลุม แผลงมาจาก อุลลุม ....
ประเด็นนี้ เป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้น และหลวงพี่ก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพียงแต่เคยคิดเล่นๆ เท่านั้น (เรื่องนี้คิดเอง ไม่มีข้อมูลจากใครอื่นเลย)
..............
เพิ่มเติมศัพท์นี้อีกนิด (ทำนองอวดรู้ 5 5 5) เพราะศัพท์นี้พิเศษ กล่าวคือ แม้จะลบอักขระ ตัวหน้าบ้าง ตัวหลังบ้าง ตัวกลางบ้าง หรือแปลงบ้างก็ยังคงแปลว่า น้ำ เหมือนเดิม ดังต่อไปนี้
ลบข้างหน้า จาก อุทกํ ก็เป็น ทกํ (ลบ อุ) , กํ (ลบ อุทะ)
ลบตัวหลัง จาก อุทกํ ก็เป็น อุทํ (ลบ กํ )
ลบตัวกลาง จาก อุทกํ ก็เป็น อุกํ ( ลบ ทะ )
แปลงสระ จาก อุทกํ , อุกํ ก็เป็น โอทกํํ , โอกํ (แปลงสระ อุ เป็นสระ โอ )
ดังนั้น อุทกํ ทกํ กํ อุทํ อุกํ โอทกํ โอกํ ก็แปลว่า่ น้ำ เหมือนกัน...
อนึ่ง ศัพท์ที่ลบหน้าลบหลัง หรือสำเนียงเพี้ยนไปเล็กน้อยทำนองนี้ เรียกว่า ศัพท์ อนุพันธ์ ซึ่งก็มีอยู่หลายศัพท์ในภาษาบาลี เฉพาะศัพท์นี้เรียกว่า อุทกานุพันธ์
ส่วนศัพท์อื่นที่พอนึกได้ตอนนี้ก็คือ สุนขานุพันธ์ คือศัพท์ที่เกี่ยวโยงกับคำว่า สุนัข (หมา) ซึ่งก็มีหลายศัพท์เหมือนกัน เช่น สุโณ โสโน โสโณ สุนกฺโข สุนโข สา .... ศัพท์เหล่านี้แปลว่า หมา เหมือนกัน
เจริญพร
สวัสดีครับคุณกวินทรากร..
*ตั้งชื่อได้งดงามดีครับ...ตามมาขอบคุณที่ได้เข้าไปแอ่ว(เที่ยว)ในเรื่องตำนานผีล้านนา
*เกล็ดความรู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณในเรื่องพระลอมีมากครับ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับอาณาจักรล้านนาสมัยก่อนครับ
*ถ้าตามแล้วถอดองค์ความรู้จริงๆออกมาได้ก็จะเห็นผะหญาหรือภูมิปัญญาคนล้านนาสมัยก่อน บรรพบุรุษเหล่านั้นท่านรู้จริง รู้แจ้ง รู้จับใจ เข้าใจทั้งธรรมชาติและจิตวิญญาณผู้คน
*บรรพบุรุษใช้ความรู้เป็นประโยชน์แก่วิถีชีวิตดังในเรื่องต่างๆที่เป็นทั้งตำนาน นิทาน เจี้ย ฯลฯ.ที่ถ่ายทอดเป็นมรดกสังคมมาสู่คนรุ่นปัจจุบัน เพียงแต่เราจะถอดองค์ความรู้แล้วประยุกต์ใช้ให้ชีวิตเป็นสุขอย่างไรในสังคมปัจจุบัน แต่หากเรามองผ่านผิวเผินก็เป็นเรื่องงมงายไปเลยก็มี
ด้วยความปรารถนาดีจากลุงหนาน....พรหมมา
สวัสดีครับคุณลุงหนานพรหมา NIKHOM ขอบคุณครับที่แวะมาเยี่ยมครับ ผมมีบทความเกี่ยวกับพระลอที่เคยเขียนไว้เอาไว้จะเอามาลงนะครับ
ทดสอบแทรกเสียงสวดมนต์
ขอบคุณครับ
ผมไม่ได้ติดแบบนั้นหรอกครับ
แต่ผมก็ยังใช้เป็น "สัญญลักษณ์" ของพระพุทธเจ้าอยู่ครับ
คือยังมีกิเลศอยู่เหมือนกันครับ
สวัสดีครับอาจารย์ ดร.แสวง ขอบพระคุณมากๆ ครับที่แวะมาอ่านตามคำเชิญชวน การบูชาพระเครื่อง/พระพทธรูป นั้นก็ถือเป็น พุทธานุสติ/สังฆานุสติ/ธรรมานุสติ อย่างหนึ่งครับ สำหรับผมเองก็มีเหรียญ เจ้าคุณนร ห้อยคออยู่เหมือนกันครับ :)
ขอบคุณครับพี่นุส
ทุกวันนี้ยังท่องพระคาถาชินบัญชรเป็นประจำค่ะ อยากเห็นทุกคนมีความสุขค่ะ
ขอบคุณครับคุณ กฤติกานต์ อนุโมทนาสาธุครับ
ต้องการให้ขาวพุทธคิดเหมือนคุณกวินให้มากขึ้นครับ...มีแต่ความงมงาย ไมเหมือนกับ เขมาเขมสรณทีปิกคาถา เลยครับ