จงฟัง...แล้วจะได้ยิน 2


ข้าพเจ้าได้ถามเพื่อนที่เข้าร่วมกิจกรรม สุนทรียสนทนา ว่า หลังจากเข้าร่วมกิจกรรมแล้วเป็นอย่างไร เธอบอกว่า บางครั้งรู้สึกว่ามัน fail คือเธอมองว่า กิจกรรมไม่ได้ให้ข้อสรุปอะไร และส่วนใหญ่ก็มาบ่นเรื่องระบบงานเสียมากกว่า  เนื่องจากวิธีการดังกล่าวนั้นเพิ่งจะเริ่มต้นในโรงพยาบาลของเธอ  จึงไม่อาจจะรู้ได้ว่ามัน work หรือไม่  แต่ข้าพเจ้ากลับมองเห็นว่าเป็นกิจกรรมที่น่าสนับสนุนและควรมีในทุกๆ โรงพยาบาล ด้วย ในความเห็นส่วนตน ถ้ามันจะ fail ก็คงจะเป็นจาก ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ยังไม่ได้เข้าถึงหลักของการฟังอย่างลึกซึ้งที่แท้จริงมากกว่า  มันเป็นการยากที่จะนำใครต่อใครมานั่งอยู่ร่วมกันแล้วก็รับฟังกันได้  บางครั้งจิตของทุกคนอาจต้องได้รับการฝึกที่จะปล่อยวางเสียก่อน  เมื่อใครก็ตามมานั่งลงในวงสนทนาแล้วมีคำว่าตัวกูของกู ความคิดเห็นของกู ติดมาด้วยอย่างเต็มเปี่ยม การสนทนานั้นก็อาจจะไม่สุนทรียะสักเท่าไหร่  

ข้าพเจ้าเคยนั่งในห้องที่มีการประชุมของผู้ทรงคุณวุฒิและรอบรู้ทั้งหลาย และเป็นกลุ่มบุคคลที่เต็มไปด้วย ego เสียส่วนใหญ่  ก็บรรดาหมู่แพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายนั่นแหละ   และไม่ได้คิดจะว่ากล่าวผู้ร่วมวิชาชีพแต่อย่างใด แต่ที่พบมาแพทย์ทั้งหลายมักเป็นเช่นนั้น แม้แต่ข้าพเจ้าเอง  แต่ก่อนข้าพเจ้าไม่ค่อยรู้สึกสักเท่าไหร่กับการโต้เถียงกันในหมู่แพทย์ เพราะเป็นเรื่องปกติที่ท่านเหล่านี้ต่างมีภูมิรู้ที่ต้องการบอกกล่าวให้ทุกคนได้ทราบ  แต่หลังจากไปปฎิบัติธรรมและเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มสังฆะหมู่บ้านพลัมมาสักระยะ  พอข้าพเจ้าต้องมานั่งในห้องประชุมแบบนั้นข้าพเจ้ามีความอึดอัดใจมาก จนอยากจะหาระฆังอันใหญ่สุดมาประจำในห้องนั้น และเชิญระฆังสักสิบครั้ง ( 3 ครั้งอาจจะยังไม่พอ )  ในที่ประชุมนั้นนอกจากแพทย์ผู้รู้ทั้งหลายจะไม่ยอมรับฟังกันแล้ว ยังไม่ให้เกียรติกันเอาเลย  ขนาดพวกเดียวกันท่านยังไม่ฟัง แล้วคนไข้ทั้งหลายล่ะ ท่านจะรับฟังเขาได้หรือ   เมื่อความรักความเข้าใจอย่างแท้จริงไม่เคยได้รับการบ่มเพาะ ก็ยากอยู่ที่จะรับฟังกันได้  สุดท้ายการประชุมก็ไม่ได้ข้อสรุปอะไร แถมมีประเด็นให้ไปทะเลาะเบาะแว้งกันต่ออีก   หลังๆมาการเข้านั่งประชุมแบบนี้ ข้าพเจ้าจึงได้แต่เจริญสติภาวนาและขอนิ่งเงียบ เพราะมีคนออกความคิดเห็นมามากพอแล้ว แถมความคิดเห็นเหล่านั้นก็ไม่มีใครสักคนที่จะรับฟังกันอย่างจริงๆจังๆ  และถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าก็เลี่ยงไม่เข้าประชุมเสียงั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน

ในการสนทนาธรรมแบบหมู่บ้านพลัม หลังจากเราได้เพาะบ่มความเมตตากรุณาด้วยการฟังเสียงสวดมนต์ นั่งสมาธิ และฟังธรรมบรรยายมาตั้งแต่เช้า ก็ถึงเวลาที่เราจะพูดคุยกันด้วยสติ  และด้วยกายกับจิตที่อยู่ตรงนั้นอย่างแท้จริง เมื่อเริ่มต้นเราจะคำนับกันก่อนคือไหว้กันแบบที่พระเซน กระทำ   การไหว้แสดงถึงความเคารพที่มีต่อกัน ไหว้ด้วยความตระหนักรู้ว่าเราทุกคนมีความเป็นพุทธะอยู่ภายใน   เมื่อเราจะพูดหรือแสดงความคิดเห็นเราจะพนมมือขึ้น คนที่อยู่ในวงจะรับไหว้ แล้วเราก็จะพูด และส่วนใหญ่ก็จะเป็นการพูดด้วยสติและสร้างสรร ด้วยการละวางตัวตนไปบ้างแล้วหลังจากการฝึกจิตเจริญภาวนามาตั้งแต่ช่วงเช้า   ส่วนผู้ฟังจะรับฟังด้วยความตั้งใจ ด้วยหัวใจที่เปิดกว้างเช่นกัน ไม่มีการขัดจังหวะไม่มีการโต้เถียงหรือแก้ไขสิ่งที่คนผู้นั้นกำลังพูด  เมื่อเขาพูดจบเขาก็จะพนมมือไหว้ และคนในวงก็จะรับไหว้ เมื่อเรามีความเห็นต่างหรือ เห็นด้วยก็แล้วแต่และอยากจะแสดงความคิดเห็นก็พนมมือขึ้น เพื่อเป็นสัญญานว่าเราขอพูด  เมื่อเราพูดคือการพูดให้ทุกคนในวงฟังไม่ใช่เพื่อให้ใครคนหนึ่งคนใดฟัง  ในการปฎิบัติเช่นนี้ ทั้งผู้พูดและผู้ฟังก็จะเคารพซึ่งกันและกัน ไม่มีเรื่องถูกหรือผิด แต่ละคนในวงจะพิจารณาด้วยสติปัญญาของตนเองว่าควรจะเชื่อแบบไหนและคิดอย่างไร  บางครั้งอาจจะไม่ได้ข้อสรุปอะไรมากมายนัก แต่สิ่งที่ได้คือปัญญาและความเคารพในซึ่งกันและกัน  

ข้าพเจ้าเห็นว่าหลักการดังกล่าวนี้จะเป็นไปด้วยดีก็ต้องใช้เคล็ดวิชาสำคัญของท่านพุทธทาส คือ การละทิ้งตัวกูของกูให้ได้ก่อน เพราะท่านบอกว่า ทุกวันนี้ที่มันวุ่นวายก็เพราะตัวกูของกูนี่แหละ  เมื่อมีตัวกูของกู ก็ต้องมีความคิดเห็นของกู  แล้วก็ไม่มีการฟังสิ่งใดๆ อีก เพราะคิดว่า กูแน่กูรู้ กว่าคนอื่นๆ   เมื่อไม่ฟังกันอย่างลึกซึ้ง  หลวงปู่ติชบอกว่า มันจะตามมาด้วย  การรับรู้ที่ผิด เพราะไม่ได้ฟังโดยตลอดและไม่ได้ฟังอย่างแท้จริง แถมตามมาด้วย การเข้าใจผิด  แล้วก็มาสู่การตัดสินใจผิด  และอะไรต่อมิอะไรที่ผิดๆก็จะตามมาเป็นพรวน 

ช่วงหลังๆ ข้าพเจ้าจึงเลือกที่จะฟังมากขึ้น การฟังนั้นได้ประโยชน์กว่า  หลวงพี่นิรามิสา ลูกศิษย์ชาวไทยของหลวงปู่ติชกล่าวว่า ในการฟังอย่างลึกซึ้งนั้น เราจะได้ยินมากกว่าสิ่งที่เราฟัง เพราะเบื้องหลังคำพูดของผู้คนนั้น เมื่อเราฟังอย่างลึกซึ้งเราจะรู้เรื่องราวบางอย่างของเขาด้วย อาจจะเป็นความทุกข์ความกังวลที่อยู่เบื้องหลังคำพูดเหล่านั้น และเราจะเข้าใจผู้พูดมากขึ้น  และข้าพเจ้าก็เห็นจริงตามนั้น  

 

หมายเลขบันทึก: 166351เขียนเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2008 14:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:47 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ชอบภาพประกอบจังเลยค่ะ ^ ^

เรื่องการประชุมที่ไม่มีการรับฟังแบบนี้ ที่ไหนๆ ก็เป็นค่ะ แต่ละคนมักยึดเอาตัวเองเป็นใหญ่ การยอมรับจึงมีน้อย ยอมรับว่าแก้ยาก เพราะบางครั้งตัวเราเองก็มีอคติกับบางอย่างที่ยังไม่ได้วาง แต่ถ้ารู้ตัวก็จะพยายามวางแล้วเปิดใจฟัง แล้วก็คล้ายๆ กันคือ เมื่อแต่ละคนมีความคิดของตนเป็นใหญ่ จึงยากจะได้ข้อสรุป เพราะเน้นเอาแต่พูดแสดงความคิดเห็น แต่ไม่มีผลลัพธ์ที่จับต้องได้จากการประชุม นอกจากว่าได้พูด(ชวนทะเลาะ)กันไปเรียบร้อยแล้ว มองย้อนไปก็ขำๆ ดีค่ะ

พอทำใจได้มากๆ บางทีเข้าที่ประชุมเพื่อไปดูละครที่เขาแสดงกันเป็นฉากๆ บางทีรู้เลยว่าคนไหนจะพยายามพูด/แสดงอะไรบ้าง  แต่ก็ไม่ได้นั่งดูอย่างเดียวเพราะรู้สึกว่าเขาให้มาประชุมทำงานก็จะเสนอความเห็น แต่ถ้าไม่มีคนรับฟังก็ไม่เป็นไร เพราะได้ทำหน้าที่ให้ความเห็นแล้ว  แต่ถ้าตัวเองเป็นประธานที่ประชุมก็อีกเรื่องค่ะ

เขียนเล่าแลกเปลี่ยนเสียยาว ขอบคุณนะคะ

สวัสดีค่ะคุณกมลวัลย์

เรื่องการประชุมนี่ ดูเหมือนว่าที่ไหนๆ ก็เป็นเหมือนกันนะคะ

เห็นด้วยค่ะว่า คนที่หนักใจและปวดหัวกว่าใครๆ น่าจะเป็นท่านประธานนี่แหละค่ะ

เราผู้เข้าร่วมประชุมคงไม่เท่าไหร่ แต่ประธานที่ต้องดูแลให้การประชุมดำเนินไปอย่างเรียบร้อย คงจะต้องทำใจกว่าใครๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท