คนเร่ร่อน กับความเสี่ยง โดนหลอกขึ้นเรือประมง


'ครูเอ็กซ์' นที สรวารี นายกสมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน ซึ่งทำงานกับเด็กเร่ร่อนมาเป็นระยะเวลานาน กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์เด็กเร่ร่อนกำลังเลวร้ายลงอย่างมาก ด้วยสถานการณ์ที่เด็กเร่ร่อนจำนวนมากถูกชักจูงเข้าสู่กระบวนการของธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจค้ามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการค้าบริการทางเพศจนถึงแรงงานเถื่อน

 

ชายหนุ่มวัย 21 ปีคนหนึ่ง ยึดฟุตบาทข้างถนน เป็นสถานที่อาศัย มาตั้งแต่อายุ 12 ปี ระหว่างระเหเร่ร่อน ก็ถูกจับลงเรือ ไปใช้แรงงานเยี่ยงทาส กลางอ่าวไทย กระทั่งหนีออกมาได้ ตรีวิทย์ บุญกวีศิลป์ รายงานถึงชีวิตของเด็กเร่ร่อนคนหนึ่ง ที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด จากการถูกหลอก ไปใช้แรงงานกลางทะเล

แดดร้อนแผดเผาผิวที่เต็มไปด้วยรอยแผลทั้งเก่าและสด ความแสบทรมานจากความเค็มของน้ำทะเลซ้ำเติมร่างกายที่อ่อนล้า ท่ามกลางสติอันเลือนลางจากความเหนื่อยอ่อนและความเจ็บปวด 'เพชร' มองออกไปนอกเรือ ภาพเดิมๆ ที่ปรากฏแก่สายตาหนีไม่พ้นทะเลเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา กับท้องฟ้ากลางแดดจ้าที่ไร้ความปรานี

ความปรานีที่ไม่เคยได้สัมผัสจากมนุษย์... 'เพชร' ตัดสินใจกระโดดลงทะเล เขาเชื่อว่า อย่างน้อยการลอยกลางมหาสมุทร ก็ยังมีโอกาสรอดมากกว่าทนอยู่บนเรือนรกลำนี้

...............................................................................

ภาพความทรงจำครั้งที่ถูกหลอกเป็นไปแรงงานเถื่อนบนเรือประมงยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำของ 'เพชร' ไม่จางหาย มันเป็นความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดในระยะเวลา 9 ปี ตั้งแต่เพชรออกจากบ้าน จากชีวิตเด็กเร่ร่อนจนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น 21 ปีในวันนี้

เพชร เล่าถึงชีวิตเด็กเร่ร่อนของตัวเอง ว่า เริ่มจากพ่อแม่แยกทางกัน ทำให้เพชรต้องเลือกที่จะอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ด้วยความที่พ่อเป็นคนที่เมาแล้วอาละวาด เขาจึงเลือกที่จะอยู่กับครอบครัวของแม่ ซึ่งประกอบด้วย แม่ ยาย และน้าชาย

แต่เหมือนหนีเสือปะจระเข้ น้าชายของเพชรกลับมีนิสัยชอบวางอำนาจและมักทำร้ายร่างกายเขาอยู่เสมอๆ เวลาเพชรทำอะไรผิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน สิ่งที่เพชรได้รับก็มักจะเป็นการลงโทษอย่างรุนแรง ฝ่ายแม่กับยายก็ไม่มีปากมีเสียงเหมือนกับมองไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้น จนเพชรบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจเกินเยียวยา เขาจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านในวัย 12 ปี

เพชรเริ่มชีวิตเด็กเร่ร่อนในนครสวรรค์บ้านเกิดได้ไม่นาน ก็มีเหตุอันทำให้ต้องผิดใจกับกลุ่มเด็กเร่ร่อนเจ้าถิ่น

"พอเราจะเข้ากลุ่มนั้นเขาก็จะบังคับให้เราดมกาว เสพยาบ้าเหมือนเขา หนักๆ เข้าไปก็ชวนกันไปร่วมก๊วนขายยา เดินยาบ้ากัน แต่ผมไม่ยอมทำ ไม่ยอมเสพก็เลยผิดใจกัน ผมก็เลยอยู่ไม่ได้ เพราะกลัวว่าเขาจะมาทำร้าย เลยหนีมาอยู่ที่กรุงเทพฯ กับเพื่อน"

ที่กรุงเทพฯ เพชรปักหลักที่สนามหลวง ดำรงชีวิตด้วยการขอทานร่วมกับเพื่อนๆ อีกหลายคน เช่นเดียวกับเด็กเร่ร่อนทั่วไป ซึ่งมักจะรวมกันเป็นกลุ่มหาเงินร่วมกันได้มาเท่าไรก็แบ่งกันแบ่งกันใช้

ครั้นพอวันเวลาผ่านไปความน่ารักน่าสงสารของวัยเด็กเริ่มหายไป จนขอทานไม่ได้ เพชรจึงต้องเริ่มหางานทำ เขาเลือกงานใช้แรงงาน ตั้งแต่ทำงานก่อสร้าง จนถึงเป็นยาม ต่างจากเด็กเร่ร่อนทั่วไปที่มักจะถูกชักจูงเข้าสู่กระบวนการธุรกิจผิดกฎหมายอย่างการค้ายาเสพติด หรือการค้าบริการ

แต่หนทางถูกกฎหมายของเด็กเร่ร่อนกลับไม่ราบรื่นอย่างที่คิด ด้วยความที่เพชรออกจากบ้านตั้งแต่ยังเด็ก ไม่มีบัตรประชาชน หรือหลักฐานใดๆ บรรดานายจ้างจึงฉวยโอกาสนี้ โกงค่าแรงของเพชร

"ตอนแรกที่เป็นคนงานก่อสร้าง เขาบอกว่า จะให้ค่าแรงวันละ100 บาท เดือนหนึ่งก็ต้องตก 3,000 บาท ผมทำ 3 เดือนก็ต้องได้อย่างน้อยๆ 9,000 บาท แต่พอถึงเวลางานเสร็จ จ่ายเงิน เขาให้ผมมาแค่ 3,000 บาท ตอนเป็นยามก็เหมือนกันเขาบอกว่าจะให้เดือนละ 6,000 บาท พอให้จริงๆ ให้แค่ 1,200 บาท พอผมโวยเขาก็บอกว่าแค่ให้ก็บุญแล้ว เพราะจริงๆ แล้วเขาจะไม่ให้ก็ได้ เพราะเราไม่มีหลักฐาน" เพชร เล่าถึงอุปสรรคในการทำงาน

โกงค่าแรง คือ สิ่งที่เด็กเร่ร่อนทุนคนเจอ และเมื่อมีประสบการณ์ร่วมกันแบบนี้ ทำให้เด็กเร่รอนหลายๆ คนไม่อยากจะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในระบบ เพราะไม่มั่นใจว่าจะถูกโกงอีกหรือไม่

แต่เรื่องโกงค่าแรงก็กลายเป็นเรื่องเล็กไปโดยปริยาย เมื่อเพชรเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการใช้งานเยี่ยงทาสของธุรกิจแรงงานเถื่อนบนเรือประมง

เพชร เล่าว่า เริ่มจากมีคนมาติดต่อให้เพชรไปทำงานคัดปลาในเรือ โดยจะให้ลงเรือหาปลา เพื่อคัดปลาครั้งละ 7 วัน และจะได้เงินเดือนๆ ละ 6,000 บาท รวมเงินพิเศษอีก 10 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายปลาแต่ละครั้ง

ข้อเสนออย่างนั้น ถือว่างดงามอย่างยิ่งสำหรับเด็กเร่ร่อนไร้โอกาสอย่างเพชร หรือไม่ว่าใครก็ตามหากตกงาน และอยากจะมีงานทำ คงตัดสินใจไม่นานว่าควรจะไปดีหรือไม่ ซึ่งกรณีของเพชร ถือว่าเป็นโอกาสชั้นเยี่ยมที่เขาจะได้ทำงาน และมีรายได้ดีๆ แบบนั้น

เพชรจึงขึ้นรถกระบะของกลุ่มคนที่มาชักชวนไปที่ปากน้ำ ซึ่งเป็นสถานที่ขึ้นเรือออกทะเล เพชรเดินขึ้นเรือด้วยความมุ่งมั่น แม้จะหนักแค่ไหนก็จะทน วันที่สองที่สาม เขาทำงานด้วยความสนุก พอถึงวันที่หก เขาก็คิดถึงวันหยุด แต่ผิดคาด เจ็ดวันผ่านไป แทนที่จะได้เข้าฝั่ง เพชรกลับถูกย้ายขึ้นไปยังเรืออีกลำหนึ่งพร้อมกับแรงงานเถื่อนคนอื่นๆ อีก 13 คน ก่อนที่จะไม่ได้เข้าฝั่งอีกเลยกว่าสี่เดือน

เพชร เล่าถึงชีวิตบนเรือประมงลำนั้น ว่า ไม่ต่างไปจากนรก โดยจะต้องทำงานทุกอย่างตั้งแต่ดึงอวนขึ้นจากน้ำ คัดปลาเอาปลาออกจากอวน จนถึงขนย้ายปลาจากใต้ท้องเรือลำที่เขาอยู่ขึ้นไปบนเรืออีกลำที่จะมาส่งเสบียงและขนปลากลับเดือนละครั้ง บางครั้งมีพายุ เด็กหนุ่มก็ต้องมีหน้าที่เป็นกลาสีจำเป็น เพื่อเอาชีวิตรอด ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนเลย

บนเรือลำนั้น เพชร บอกว่า จะลากอวนอยู่เกือบตลอดเวลา พอลากได้ซักพัก คนงานบนเรือต้องดึงอวนขึ้นมา คัดปลาออกมาเก็บไว้ที่ห้องเย็นใต้ท้องเรือ วันๆ หนึ่งทำกันกี่รอบ ก็ไม่มีใครนับ เพราะทุกคนรู้แต่ว่าต้องทำเรื่อยๆ แม้ว่ากลางวันแดดจะเผา ผ่าวร้อนเพียงใดก็ตาม กลางคืนที่คิดว่าจะได้พัก ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทุกคนไม่ได้หยุด

"แต่ละวันผมทำงานมากกว่า 20 ชั่วโมงมั้ง ตอนมีพายุก็ต้องวิดน้ำออกจากเรือพร้อมๆ กับที่ต้องเอาตัวให้รอด เพราะถ้าตกจากเรือตอนมีพายุ ก็ตายแน่ๆ พอพายุสงบ แทนที่จะได้พัก แต่กลับต้องทำงานต่อทันที เวลาอวนขาดก็ต้องมานั่งเย็บอวนกัน บางครั้งถูกอวนปาดเป็นแผลเหวอะหวะ แต่ก็ต้องทำงานต่อไป เพราะถ้าหยุดก็จะถูกลงโทษ เวลาแผลโดนน้ำเค็มจะแสบทรมานมากแต่ก็ต้องทน"

ที่น่ากลัวมากกว่านั้น ก็คือ บทลงโทษ เพชรบอกว่า เจ็บปวดและทรมานมากกว่าเจ็บแผลเสียอีก บางครั้งเขาถูกน้ำร้อนเดือดๆ สาด

"มีอยู่ครั้งหนึ่งลากอวนขึ้นมามีปลากระเบนติดมาด้วย เขาก็จะให้เราตัดหางกระเบนมาให้เขา เก็บไว้ใช้เฆี่ยนพวกเรา เจ็บมาก ไต้ก๋งซึ่งเป็นหัวหน้าบนเรือก็จะขู่ว่าถ้าใครทำต่อไม่ไหวเขายิงทิ้ง แล้วทิ้งศพลงทะเล ซึ่งเขาทำได้ เพราะบนเรือนี่กฎหมายบ้านเมืองอะไรมาไม่ถึง ใครจะตายก็ไม่มีใครรู้ ไม่ใช่น่านน้ำไทยเสียด้วยซ้ำ" เพชร บอกและว่า "เขาบอกว่าตอนนี้เรือลำนี้อยู่บนน่านน้ำอินโดนีเซีย ถ้าเวลาตำรวจมาเจอแล้วพวกเราร้องให้ช่วย ก็อย่าคิดว่าจะรอดไปได้ เพราะจะเป็นตำรวจอินโดไม่ใช่ตำรวจไทย เขาจะจับพวกเราเข้าคุกอินโด ซึ่งทรมานยิ่งกว่านี้ ผมก็คิดว่าคงเป็นจริงๆ อย่างที่เขาพูดเพราะว่า เรือประมงลำนี้เคยเจอเรือตำรวจน้ำครั้งหนึ่ง ยังไม่ทันทำอะไรก็ถูกยิงใส่ หนีเกือบไม่ทัน"

เพชรทำงานอยู่บนเรือประมงลำนั้นนานกว่า 3 เดือนจนกระทั่งทนไม่ไหว

"ตอนนั้นคิดแล้วว่าอยู่บนเรือต่อไปนี่ต้องตายแน่ๆ ไม่เพราะทรมานตาย ก็ต้องถูกยิงทิ้ง เนื่องจากเขาจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างให้เรา ผมกับเพื่อนที่ชื่อต๊อกเลยวางแผนจะกระโดดลงเรือกันสองคน เราหาทุนลูกกลมๆ ขนาดเท่าลูกฟุตบอลไว้เกาะคนละสองลูก แล้วแอบกระโดดลงจากเรือจากทางด้านข้างตอนกลางคืน ลอยคออยู่กลางทะเลหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ จนมีเรือลำอื่นผ่านมา เรือที่มาช่วยเขาก็เป็นเรือประมงเหมือนกัน เขาเลยให้เราทำงานบนเรือเขาต่ออีกประมาณหนึ่งเดือนค่อยส่งเราเข้าฝั่ง"

เพชรหนีออกมาได้โดยไม่ได้เงินแม้แต่บาทเดียว เขาหนีกลับกรุงเทพฯได้ไม่นานก็มีเหตุอันต้องเกือบกลับไปหานรกแบบนั้นอีกครั้ง

"ครั้งแรกผมถูกหลอกไป แต่ครั้งที่สองนี้ผมถูกอุ้ม ตอนแรกพวกเขามากัน 2-3 คน ชักชวนผมแบบเดิม แต่ครั้งนี้ผมรู้แล้วว่ามันเป็นอย่างไรเลยปฏิเสธ เขาเลยแอบตามผมมาเรื่อยๆ เห็นมีจังหวะก็เข้ามาอุ้มผมขึ้นรถกระบะไปเลย ก่อนที่จะพาผมไปที่บ้านแห่งหนึ่งในสมุทรสาคร เพื่อรอขึ้นเรือ ผมแอบหนีได้เลยไปแจ้งตำรวจ แต่ตำรวจกลับส่งผมกลับไปที่บ้านหลังนั้น พวกเขารู้จักกัน"

หลังจากรู้แล้วว่าแจ้งตำรวจไปก็ไม่มีประโยชน์เพชรจึงทำทีเป็นยอมขึ้นเรือไปโดยดี ก่อนที่กระโดดลงน้ำหนีอีกครั้งที่ปากแม่น้ำ และกลับมาใช้ชีวิตเร่ร่อนอีกครั้ง

ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้เพชรและเพื่อนเข็ดขยาดจากงานรับจ้าง พวกเขากลัวว่าจะถูกหลอกไปทำงานเยี่ยงทาสอีก เขาใช้เรื่องของตัวเองเตือนเพื่อนๆ เด็กเร่ร่อนด้วยกันเพื่อป้องกันตัว ขณะเดียวกัน ก็คอยระวังตัวจากคนกลุ่มนี้

"ผมสังเกตดูหลายๆ ที่แล้ว เห็นชัดๆ คือ แถววงเวียนใหญ่ และแถววัดดงมูลเหล็ก พระประแดง จะมีคนกลุ่มใหญ่มองคอยหาเด็กเร่ร่อน เข้าไปชักชวนก่อนหนึ่งคน ถ้าเด็กไหวตัวทันก็จะพาคน 4-5 คนเดินตาม บางครั้งก็อุ้มไปเลยบางครั้งก็ใช้ปืน หรือมีดจี้ไป บางครั้งก็มอมยาให้หลับตื่นอีกทีก็อยู่บนเรือแล้ว"

ทุกวันนี้ เพชรอาศัยอยู่บริเวณสะพานพุทธ ดำรงชีวิตด้วยการตั้งแผงขายหน้ากากโทรศัพท์มือถือที่รับมาจากคลองถม รายได้ไม่ค่อยจะพอกินนัก ช่วงแรกๆ ที่กลับมา ต๊อกเพื่อนที่หนีมาด้วยกันชวนไปทำอาชีพขายบริการทางเพศให้คนที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ

"ตอนนั้นเราท้อมาก เราอยากทำอะไรที่ถูกกฎหมายไม่ทำอะไรผิด ไม่ลักขโมย แต่ก็กลับถูกหลอกแบบนี้เงินก็ไม่ได้ซักแดง พอคิดแบบนั้นก็เลยคิดว่าขายตัวก็ดีเหมือนกันไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ทำให้แขกก็ได้เงินแล้ว แต่พอทำได้ 4-5 ครั้ง มีแขกขอทำให้เราบ้างแล้วจะได้เงินเพิ่มเราก็เลยให้ทำ ตอนนั้นเจ็บมากก็เลยเข็ดอีกไม่ทำแล้ว แต่ต๊อกยังทำอยู่รู้สึกจะได้ดีมีครูสอนเต้นที่เป็นเกย์คนหนึ่งรับเลี้ยงไปแล้ว" เพชร บอก

ชีวิตของหนุ่มเร่ร่อนคนนี้ คือ ตัวอย่างชั้นดีที่เผยให้เราเห็นอีกด้านหนึ่งของพวกเขา ว่าแท้จริงแล้ว ชีวิตของคนเร่ร่อนนั้น เปราะบางและเสี่ยงภัยรอบด้าน ซึ่งแน่นอน พวกเขาไม่ต้องการจะเลือกวิถีอย่างนี้ แต่เพราะโอกาสที่สังคมหยิบยื่นให้... มีน้อยเกินกว่าจะเลือกนั่นเอง

 
เด็กเร่ร่อน

ชีวิตบนความเสี่ยง

'ครูเอ็กซ์' นที สรวารี นายกสมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน ซึ่งทำงานกับเด็กเร่ร่อนมาเป็นระยะเวลานาน กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์เด็กเร่ร่อนกำลังเลวร้ายลงอย่างมาก ด้วยสถานการณ์ที่เด็กเร่ร่อนจำนวนมากถูกชักจูงเข้าสู่กระบวนการของธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจค้ามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการค้าบริการทางเพศจนถึงแรงงานเถื่อน

"เรื่องแรงงานทาสบนเรือประมงก็เช่นเดียวกัน เรารู้ว่ามันมีเรื่องแบบนี้มานานแล้ว พวกนี้จะมีเรือประมง 2 ลำ ลำหนึ่งจะมีการจดทะเบียนถูกต้องคอยส่งแรงงานทาสไปยังอีกลำหนึ่งจะลอยอยู่กลางทะเล มีการอุ่มเด็กไปด้วยวิธีการต่างๆ ตั้งแต่มอมยาจนถึงใช้กำลัง พวกนี้จะมีมากแถวฝั่งธน วงเวียนใหญ่ มหาชัย บนเรือก็จะมีวิธีควบคุมเด็กสารพัดตั้งแต่การทรมานทุบตี การบังคับให้เด็กใช้ยา จนถึงการนำผู้หญิงไปขายบริการทางเพศบนเรือ"

นที บอกว่า แต่ละปีๆ มีเด็กเร่ร่อนหายไปจากถนนนับไม่ถ้วน โดยที่เขาไม่ได้กลับบ้าน ถามว่าไปไหน ส่วนใหญ่ก็เข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์แบบนี้ ถูกใช้งานจนคุ้มแล้วก็ถูกเก็บถูกฆ่าปิดปาก ทางเราก็ไม่รู้จำนวนที่แน่นอน เพราะส่วนใหญ่หายไปแล้วก็ไม่ได้รอดกลับมา อย่างบนเรือประมงเถื่อนพวกนี้พอเขาใช้งานเด็กจนคุ้มแล้ว ก็มักจะใช้งานจนเด็กหมดแรงแล้วถีบเด็กให้ตกทะเลปล่อยให้จมน้ำตาย หรือในธุรกิจยาเสพติดก็มักจะปิดปากเด็กเหล่านี้โดยการให้เสพยาจนเกินขนาดตาย หรือให้เสพยาจนเมามากแล้วผลักตกคลองให้เด็กช่วยตัวเองไม่ได้ตายไปเอง พอตำรวจมาพบศพก็จะสรุปว่าเด็กเสพยาเมาตกตลองตาย

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กเร่ร่อนเหล่านี้เป็นเหยื่อของธุรกิจผิดกฎหมาย เนื่องจากเด็กเหล่านี้ไม่มีหลักฐานเอกสารทางราชการ ไม่มีแม้แต่บัตรประชาชน เพราะส่วนใหญ่ออกเร่ร่อนตั้งแต่อายุ 12-14 ปี เมื่อแจ้งความกับตำรวจก็มักจะไม่ได้รับความสนใจ อีกทั้งบางครั้งยังเป็นปัญหาเรื่องสัญชาติ เด็กบางคนแทนที่จะได้รับการช่วยเหลือ แต่กลับถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแรงงานต่างด้าวถูกผลักดันออกนอกประเทศ

ในส่วนธุรกิจยาเสพติดก็มักให้เด็กเป็นคนเดินยา เพราะหากถูกจับแล้วไม่ติดคุก เพราะยังเป็นเยาวชน ประกอบกับมีภาพว่าเด็กๆ เหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่ไม่มีใครให้ความสนใจ จะเป็นอะไรไปก็ไม่มีใครให้ความสำคัญ

ครูเอ็กซ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า หลายคนมองว่าเด็กเร่ร่อนเป็นปัญหาสังคม เป็นกลุ่มที่ก่อความเดือดร้อน เป็นอันตราย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เด็กเร่ร่อนเป็นผลจากปัญหาสังคมต่างหาก พวกเขาเป็นผลพวงจากปัญหาครอบครัว ปัญหายาเสพติด ซ้ำทุกวันนี้ยังเป็นเป้าของกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายอีก พวกเขาต้องใช้ชีวิตบนถนนกับความเสี่ยงกับอันตรายต่างๆ แท้จริงแล้วเด็กเร่ร่อนเป็นเหยื่อของปัญหาสังคม และถูกละเลยแม้แต่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเอง

 

   
หมายเลขบันทึก: 165695เขียนเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2008 10:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 พฤษภาคม 2012 21:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท