ลูกชายต่างสายเลือดชื่อ “สาละวิน”
โดย วันดี สันติวุฒิเมธี วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2551
_______________________________________________________________________
“เอาลูกแรงงานพม่ามาเลี้ยง เดี๋ยวมันโตขึ้น มันก็ฆ่าเราเหมือนกับแรงงานพม่าฆ่านายจ้างที่เป็นข่าวหรอก”
นั่นเป็นความคิดเห็นของญาติผู้พี่คนหนึ่งหลังจากได้ข่าวว่าฉันพาเด็กชายไร้สัญชาติซึ่งฉันตั้งชื่อจริงให้ว่า “สาละวิน” หรือ น้องวิน วัย 11 เดือนมาเลี้ยงเป็นลูก ฉันไม่รู้สึกแปลกใจในคำพูดของญาติและใครอีกหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้ เพราะคนไทยส่วนใหญ่มักยังเชื่อในสุภาษิตโบราณว่า “เอาลูกเค้ามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเค้ามาอม” เป็นเรื่องไม่สมควร และยิ่งหากเป็นลูกของแรงงานพม่าด้วยแล้ว อคติที่มีดูจะเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นทวีคูณ
ทว่า คำพูดเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ฉันท้อแท้ใจเลยสักนิดเดียว ตรงกันข้ามกลับทำให้ฉันรู้สึกเข้มแข็งและอยากพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ความรักระหว่างแม่ลูกต่างสายเลือดสามารถเกิดขึ้นได้ และไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเกิดมาจากสายเลือดของใคร สัญชาติอะไร เขาก็สามารถเติบโตเป็นเด็กดีมีความสามารถไม่แพ้เด็กที่มีสัญชาติ ฉันจะต้องทำให้ญาติพี่น้องและคนรอบข้างรักเค้าให้ได้
จนถึงขณะนี้เวลาผ่านไปเกือบสองปีแล้ว ฉันสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า “ไม่มีญาติคนไหนไม่รักเค้าสักคน” และดูเหมือนทุกคนจะลืมไปแล้วว่า เค้าเป็นลูกชายต่างสายเลือดเพราะความรักที่เราแม่ลูกมอบให้กันไม่ได้น้อยไปกว่าแม่ลูกสายเลือดเดียวกันคู่ไหนเลย
ของขวัญจากชายแดนตะวันตก
ปลายเดือนพฤษภาคม 2548 ขณะที่ฉันเดินทางจากเชียงใหม่ไปยังอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อเขียนสารคดีเรื่อง “แม่ตาวคลินิก” ให้กับวารสารสาละวินโพสต์ซึ่งฉันทำงานในตำแหน่งบรรณาธิการและนักเขียนประจำ เจ้าหน้าที่ประจำแม่ตาวคลินิก ซึ่งให้บริการผู้ป่วยแรงงานพม่าที่เข้าทำงานในเมืองไทยแจ้งให้ทราบว่า ขณะนี้มีเด็กชายลูกแรงงานพม่าคนหนึ่งถูกทอดทิ้งอยู่ที่โรงพยาบาลแม่สอดและต้องการให้ทางแม่ตาวคลินิกรับเด็กไปดูแลต่อ เนื่องจากเด็กมีปัญหาสุขภาพหลายด้าน
เด็กชายผู้นี้เกิดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2548 มีชื่อในใบรับรองการเกิด ทร. 1/1 ว่า “ลูกชายนางซ่วยซิน” เป็นเด็กชายฝาแฝดซึ่งคลอดก่อนกำหนดด้วยน้ำหนักตัวเพียง 2.2 กิโลกรัม และมีปัญหาสุขภาพหลายอย่างนับตั้งแต่เริ่มลืมตาดูโลก ที่หนักหนาสุด คือ ปัญหาหลอดอาหารและหลอดลมเชื่อมต่อกัน ทำให้เด็กไม่สามารถกินนมแม่ทางปาก เมื่อกินแล้วจะเกิดอาการสำลักออกทางจมูก นอกจากนี้ยังมีปัญหาหัวใจมีรูรั่วขนาดไม่เกิน 5 มิลลิเมตร และปัญหาปอดอักเสบ
อันที่จริง ทารกน้อยมีโอกาสอยู่บนโลกใบนี้ได้ไม่นานหากไม่ได้รับ การผ่าตัดแยกหลอดอาหารออกจากหลอดลม เพราะจะไม่สามารถกินอาหารทางปากได้เหมือนเด็กทั่วไป และค่าใช้จ่ายจากการผ่าตัดก็เป็นจำนวนที่มากเกินกว่าพ่อแม่แรงงานข้ามชาติค่าแรงวันละไม่กี่บาทจะหามาจ่ายได้ นอกจากนี้ โรงพยาบาลแม่สอดยังไม่มีความพร้อมทางด้านบุคลากรและเครื่องมือแพทย์สำหรับทำการผ่าตัดผู้ป่วยแรกเกิดในกรณีแบบนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสังคมสงเคราะห์โรงพยาบาลพม่าสอดเคยพูดถึงปัญหาสุขภาพของทารกสัญชาติพม่าให้ฟังว่า
“ลูกแรงงานพม่าที่ป่วยหนักส่วนใหญ่จะไม่รอด”
ทว่า ปาฎิหารย์ครั้งแรกในชีวิตของทารกน้อยก็เกิดขึ้น เมื่อโรงพยาบาลแม่สอดตัดสินใจช่วยชีวิตเด็กน้อยด้วยการส่งไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ หรือ โรงพยาบาลสวนดอก ในวันรุ่งขึ้นหลังจากลืมตาดูโลกเพียงไม่กี่ชั่วโมง คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการผ่าตัดแยกหลอดอาหารออกจากหลอดลมจนสำเร็จ ทารกน้อยต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลสวนดอกเพื่อติดตามผลหลังการผ่าตัดเป็นเวลา 8 เดือนโดยไม่มีพ่อแม่ให้ความรักความอบอุ่น เนื่องจากพ่อแม่เป็นแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีบัตรอนุญาตทำงาน จึงไม่สามารถเดินทางจากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มาเยี่ยมลูกในจังหวัดเชียงใหม่ได้
หลังจากผ่าตัด เด็กชายยังไม่สามารถกินอาหารทางปากได้ เนื่องจากต้องใช้เวลาฝึกกระตุ้นความอยากอาหาร จึงจำเป็นต้องให้อาหารด้วยสายยางทางหน้าท้องไปจนกว่าเด็กสามารถกินอาหารได้เอง ทางโรงพยาบาลสวนดอกได้ให้การดูแลเด็กน้อยเป็นอย่างดี โดยฝ่ายสังคมสงเคราะห์ของโรงพยาบาลได้นำเงินบริจาคจาก มูลนิธิราชสมาธรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 731,326 บาท มาเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาเด็กชายผู้นี้
โรงพยาบาลสวนดอกได้ส่งเด็กกลับไปให้พ่อแม่เป็นผู้ดูแลเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2549 เนื่องจากเด็กยังไม่สามารถกินนมแม่ได้ พ่อแม่จำเป็นต้องซื้อนมผงมาชงให้ แต่ด้วยความยากจนพ่อแม่จึงไม่มีเงินซื้อนมผงมาให้ลูกเพียงพอกับความต้องการทำให้เด็กผอมแห้งและมีอาการขาดสารอาหาร นอกจากนี้ การให้นมทางสายยางหน้าท้องยังเต็มไปด้วยความยุ่งยากเนื่องจากจะต้องให้นมทุก 4 ชั่วโมง และต้องต้มกระบอกฉีดยาหรือสลิงค์ให้สะอาดมิฉะนั้นเด็กจะติดเชื้อหรืออาจท้องเสียหากมีนมตกค้างอยู่ในท่อสายยาง หลังจากดูแลลูกได้เพียงหนึ่งเดือน วันที่ 14 มิถุนายน 2549 พ่อแม่จึงนำเด็กมารักษาที่โรงพยาบาลแม่สอด โดยหลังจากมาเยี่ยมลูกได้เพียงไม่กี่วัน พ่อแม่ของเด็กก็หายหน้าไปและไม่กลับมาอีกเลย มีเพียงเพื่อนแรงงานพม่ามาเยี่ยมและบอกข่าวกับเจ้าหน้าที่ว่าพ่อแม่ของเด็กได้พาลูกชายคนโตหรือแฝดผู้พี่อพยพกลับไปอยู่ในฝั่งประเทศพม่าแล้ว มีเพียงป้าของเด็กยังทำงานรับจ้างในอำเภอแม่สอด ซึ่งไม่สามารถรับหลานชายที่มีปัญหาสุขภาพไปดูแลได้
หลังจากฉันได้ยินเรื่องราวจากเจ้าหน้าที่แม่ตาวคลินิก ฉันเริ่มสนใจติดตามไปเก็บข้อมูลเพื่อเขียนสารคดีโดยไม่ได้คิดมาก่อนว่า อีกหนึ่งเดือนต่อมา เขาจะกลายมาเป็น ลูกชายต่างสายเลือดที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของฉันมาจนถึงนาทีนี้
ฉันยังจดจำภาพแรกที่เห็นลูกกำลังหัดดูดนมจากขวดได้เป็นอย่างดี วันนั้นพยาบาลเพิ่งหัดให้ดูดนมทางปากได้เพียงไม่กี่วัน และลูกเพิ่งเริ่มกินนมได้ไม่ถึงครั้งละ 2 ออนซ์ ส่วนที่เหลือต้องให้ทางเครื่องอัตโนมัติ แม้ว่าลูกจะอายุ 11 เดือนแล้ว แต่ลูกยังมีน้ำหนักเพียงแค่ 6 กิโลกรัมเท่านั้น ขณะที่เด็กในวัยเดียวกันกำลังหัดเดินและพูดคุย ลูกชายต่างสายเลือดของฉันกลับยังไม่เคยหัดคว่ำและคลานเนื่องจากมีสายยางให้อาหารติดอยู่บริเวณหน้าท้อง แม้แต่ลุกนั่งด้วยตนเองลูกก็ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ในวินาทีแรกที่ฉันได้เห็นหน้าเด็กชายตัวเล็กนอนในกระบะเด็กแรกเกิด ฉันรู้สึกเอ็นดูเด็กชายคนนี้อย่างประหลาด คืนนั้น ฉันกลับไปนอนที่โรงแรมในแม่สอดและน้ำตาไหลเมื่อคิดถึงเด็กน้อย เย็นวันรุ่งขึ้น หลังจากเก็บข้อมูลที่อื่นเสร็จ ฉันชวนออย เพื่อนรุ่นน้องที่เดินทางไปทำงานด้วยกันไปเยี่ยมเด็กชายคนนี้ที่โรงพยาบาล ซึ่งออยก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะถูกชะตาเด็กน้อยเช่นเดียวกันฉัน
วันนั้น ขณะที่ฉันกำลังเดินเข้าไปเยี่ยม เด็กชายกำลังร้องไห้อยู่ในกระบะเด็กแรกเกิดโดยไม่มีพยาบาลคนไหนว่างมาอุ้มปลอบใจ ฉันรีบเข้าไปอุ้มจนเลิกร้องไห้ และเห็นรอยยิ้มปรากฏขึ้น ฉันรู้สึกเชื่อมั่นว่า หากเด็กชายคนนี้ได้รับความรักอย่างพอเพียง เขาจะต้องกลับมากินอาหารทางปากได้เหมือนเด็กทั่วไปในเร็ววัน นาทีนั้น ฉันเริ่มคิดอยากพาเด็กคนนี้กลับไปอยู่เชียงใหม่กับฉันด้วย ฉันและออยมีความคิดตรงกันว่า เราอยากดูแลเด็กคนนี้ และจะช่วยกันดูแลเขาจนกว่าจะหายเป็นปรกติ
ฉันปรึกษากับเจ้าหน้าที่แม่ตาวคลินิกว่า ต้องการพาเด็กคนนี้ไปดูแลจนกว่าจะหาย เจ้าหน้าที่ให้เวลาฉันกลับไปเชียงใหม่เพื่อคิดทบทวนถึงภาระอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ให้รอบคอบ และหากยังยืนยันว่าจะดูแลเด็กคนนี้ ค่อยกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อรับตัวเด็กน้อยไปดูแล
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น วันที่ 23 มิถุนายน 2549 ฉันและออยขับรถมุ่งหน้าไปยังอำเภอแม่สอด จังหวัดตากเพื่อรับตัวลูกชายต่างสายเลือดมาดูแล เราสองคนช่วยกันตั้งชื่อให้ว่า “สาละวิน” แม่น้ำที่ไหลผ่านชายแดนตะวันตก และชื่อเล่นว่า “วิน” (win) เพื่อให้เขาชนะโรคร้ายและชนะใจทุกคนที่ได้เจอ
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็กลายเป็นคุณแม่ผู้ไม่ต้องตั้งครรภ์และมีลูกชายอายุ 11 เดือนผู้เป็นเสมือนของขวัญจากฟากฟ้าที่ส่งมาให้ฉันบนชายแดนตะวันตกแห่งนี้
ต่างสายเลือดแต่หัวใจเดียวกัน
“หากลูกเจ็บ แม่เจ็บยิ่งกว่า”
ประโยคนี้ฉันมักได้ยินแม่พูดให้ฟังอยู่เสมอ และแม่มักร้องไห้เวลาฉันหรือลูก ๆ คนอื่นไม่สบาย ฉันเพิ่งเข้าใจประโยคนี้เมื่อเห็นลูกชายต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ฉันมักร้องไห้ทุกครั้งที่เห็นลูกไม่สบาย โดยเฉพาะเมื่อป่วยหนักจนต้องนอนโรงพยาบาล
เนื่องจากน้องวินมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กทั่วไป การดูแลน้องวินจึงไม่ง่ายนัก เริ่มจากการกินอาหารทางสายยาง ซึ่งต้องต้มสลิงค์ให้สะอาดทุกครั้ง และเนื่องจากน้องวินยังไม่รู้จักความรู้สึกหิว จึงต้องคอยตั้งนาฬิกาให้นมทางสายยางทุก 4 ชั่วโมงตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน นอกจากนี้ น้องวินยังมีปัญหาด้านปอด ซึ่งทำให้หายใจไม่สะดวกและต้องคอยสังเกตว่าหากมีเสมหะมากเกินไปจะต้องพาไปดูดที่โรงพยาบาล ฉันและออยจึงต้องช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิด โดยในช่วงแรก ออยได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านของฉันเพื่อช่วยกันดูแลน้องวิน หลังจากนั้นจึงผลัดกันเลี้ยงที่บ้านของแต่ละคนตอนกลางคืน ส่วนกลางวันเลี้ยงที่สำนักงาน โดยมีน้อง ๆ คนอื่น ๆ ผลัดกันช่วยดูแล
ในตอนแรกที่ฉันและออยตัดสินใจพาน้องวินมาดูแล ไม่มีใครรู้ว่า อีกนานเท่าไหร่น้องวินจะสามารถกินอาหารทางปากและหายเป็นปรกติ ทว่า นับตั้งแต่คืนแรกที่มาอยู่กับฉัน น้องวินก็เริ่มกินนมทางปากเพิ่มจาก 2 ออนซ์เป็น 6 ออนซ์ต่อครั้ง และเริ่มกินอาหารอ่อน ๆ ทางปากได้ในอีกไม่กี่วันต่อมา
หลังจากนั้นเพียงสองสัปดาห์ปาฎิหารย์ครั้งที่สองในชีวิตของลูกก็เกิดขึ้น
วันนั้น สายยางให้อาหารหลุดออกมาจากหน้าท้องทำให้นมที่กินเข้าไปไหลออกมา ฉันรีบพาไปโรงพยาบาล หมอบอกว่า สายยางด้านในมีรอยขาดทำให้หลุดออกมา หากน้องวินยังกินอาหารทางปากไม่ได้ หมอจะต้องผ่าตัดเพื่อใส่สายยางเชื่อมต่อไปยังกระเพาะอีกครั้ง นาทีนั้น ฉันเริ่มใจไม่ดีเพราะกลัวลูกจะต้องเจ็บตัวอีก แต่หลังจากหมอทราบว่า น้องวินเริ่มหัดกินอาหารทางปากได้บ้างแล้ว หมอจึงดึงสายยางออกทั้งหมดและทำการปิดแผลด้วยผ้าก็อซ หมอบอกว่า ถ้าน้องวินยังคงกินอาหารทางปากได้ดีก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาผ่าตัดใส่สายยางที่หน้าท้องอีก ฉันยังจำได้ดีว่า ลูกยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขเมื่อหมอนำสายยางออกไปจากหน้าท้อง เมื่อไร้ซึ่งพันธนาการที่หน้าท้อง ไม่นานนัก ลูกก็สามารถคว่ำ คลาน ยืน เดิน และวิ่งอย่างคล่องแคล่วในปัจจุบัน
นอกจากลูกจะกินอาหารทางปากในเวลารวดเร็วกว่าที่คิด ปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ หายไป ทั้งรูรั่วในหัวใจซึ่งมีขนาดเล็กไม่เกิน 5 มิลลิเมตรก็ปิดตัวไปเองโดยไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด และปัญหาเสมหะก็ค่อย ๆ ลดลงจนหายไปเอง
ปัญหาสุขภาพที่ยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิด คือ ระมัดระวังไม่ให้ลูกกินอาหารชิ้นใหญ่ หรือห้ามกินอาหารที่สามารถพองตัวมากขึ้นเมื่อเจอน้ำลายในปาก เนื่องจากหลอดอาหารจะมีรอยต่อหลังการผ่าตัดทำให้บริเวณนั้นยึดหยุ่นไม่ดี หากกินอาหารชิ้นใหญ่เกินไปกล้ามเนื้อบริเวณรอยต่อจะยึดหยุ่นไม่ดีทำให้ลูกอาเจียนออกมา ปัญหานี้จะหมดไปก็ต่อเมื่อลูกโตขึ้น เพราะหลอดอาหารจะขยายตามขนาดตัว และลูกเริ่มรู้จักเคี้ยวอาหารให้ละเอียด ด้วยเหตุนี้ ลูกจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในช่วงวัยเด็ก
ตลอดเวลาเกือบสองปี ลูกเคยเข้านอนโรงพยาบาลสามครั้ง ครั้งแรก เป็นไข้ตัวร้อนจัด นอนโรงพยาบาลเอกชนสามวัน เสียค่าใช้จ่ายหมื่นกว่าบาท ครั้งที่สอง เนื่องจากกล้วยน้ำว้าติดคอ ขณะนั้นอายุได้ประมาณปีกว่า ลูกแอบกัดกล้วยน้ำว้าที่อาม่า (แม่ของฉัน) ถืออยู่ในมือเข้าไปคำใหญ่ขนาดเกือบเท่านิ้วก้อยผู้ใหญ่ กล้วยชิ้นนี้ลงไปติดบริเวณรอยต่อที่ผ่าตัด ลูกจึงกินน้ำ นม หรืออาหารอื่น ๆ ตามลงไปไม่ได้ ส่งผลให้ลูกต้องเข้าไปนอนโรงพยาบาลถึงห้าวัน เพราะต้องเข้าห้องผ่าตัด ดมยาสลบ และคีบกล้วยออกมาจากทางลำคอ เสียค่าใช้จ่าย ประมาณเจ็ดพันบาท และครั้งที่สาม เนื่องจากเป็นหวัดลงปอด นอนโรงพยาบาลเกือบหนึ่งอาทิตย์ เสียค่าใช้จ่ายประมาณเจ็ดพันบาท
สิ่งที่ทำให้ฉันทุกข์ใจมากกว่าการเสียเงินค่ารักษา คือ ความเจ็บปวดที่ลูกได้รับระหว่างการรักษา โดยเฉพาะเมื่อต้องเจาะหาเส้นเลือดเพื่อให้น้ำเกลือ เนื่องจากลูกต้องผ่าตัดตั้งแต่ยังเป็นทารกน้อยและนอนโรงพยาบาลนานเกือบปี เส้นเลือดของลูกจึงเปราะบางและถูกเจาะให้น้ำเกลือจนพรุนไปหมด เมื่อลูกต้องเข้าโรงพยาบาลอีก พยาบาลจึงเจาะหาเส้นเลือดสำหรับให้น้ำเกลือยากมาก บางครั้งต้องเจาะที่ใต้ฝ่าเท้า ใต้ฝ่ามือซึ่งเป็นเนื้อที่บางทำให้เจ็บมาก หนักที่สุด คือ เจาะบนหัว ภาพเหล่านี้ทำให้ฉันร้องไห้จนตาบวม ยิ่งได้ยินเสียงลูกร้องลั่นเวลาถูกเข็มฉีดยาเจาะไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ฉันต้องกอดลูกไว้แล้วร้องไห้ไปพร้อมกับลูก ไม่เพียงแค่ฉัน อาม่า (แม่ของฉัน) ก็มักจะร้องไห้ตามเมื่อเห็นหลานชายต่างสายเลือดต้องเจ็บตัว เพราะอาม่ารักน้องวินมากเหมือนกับหลานในไส้ และมักร้องไห้ให้ได้ยินทางโทรศัพท์ทุกครั้งที่รู้ว่า น้องวินไม่สบายมาก
สิ่งที่ฉันกังวลใจเกี่ยวกับสุขภาพของลูก คือ ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ซึ่งฉันไม่สามารถทำบัตรประกันสุขภาพ หรือซื้อประกันสุขภาพจากบริษัทประกันทั่วไปให้ลูกได้ เพราะน้องวินเป็นเด็กไร้สัญชาติและมีปัญหาด้านสุขภาพมาตั้งแต่แรกเกิด
“ ทุกครั้งที่ลูกป่วย ไม่ว่าจะเข้ารักษาที่โรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน ฉันจะต้องรับผิดชอบค่ารักษาทั้งหมด ซึ่งหากสามารถทำบัตรประกันสุขภาพได้ก็คงจะช่วยลดความกังวลใจลงไปได้บ้าง เพราะโอกาสที่ลูกเจ็บป่วยมีมากกว่าเด็กทั่วไป”
ปัจจุบัน น้องวินอายุสองขวบครึ่งและเข้าเรียนที่ชั้นเตรียมอนุบาล 1 ที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ สุขภาพของลูกแข็งแรงขึ้นมาก แต่ยังคงเจ็บป่วยตามฤดูกาลเหมือนกับเด็ก ๆ ทั่วไป น้ำหนักของน้องวินปัจจุบันอยู่ที่ 10 กิโลกรัมกว่า ๆ เมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นแล้วเรียกว่าค่อนข้างน้อย แต่หากเทียบกับตัวของลูกเมื่อตอนอายุ 11 เดือนเพียง 6 กิโลกรัม เรียกว่าโตขึ้นมากทีเดียว
ด้วยความรักจากผู้คนรอบข้างทำให้ลูกเติบโตมาเป็นเด็กอารมณ์ดีและเป็นที่รักของทุกคนในวันนี้ สิ่งที่น่าตลกก็คือ วันที่ฉันพาลูกมาจากโรงพยาบาลแม่สอด พยาบาลได้สอนฉันถึงวิธีนวดเหงือกเพื่อกระตุ้นต่อมน้ำลายให้ลูกรู้สึกอยากอาหารและกินทางปากได้ดี แต่จนถึงวันนี้ ฉันยังไม่เคยมีโอกาสใช้วิธีดังกล่าวเลย เพราะลูกกินเก่งมากจนทุกคนที่เห็นไม่อยากเชื่อว่า ลูกมีปัญหากินทางปากไม่ได้มาก่อน
เรื่องตลกอีกเรื่องหนึ่งก็คือ น้องวินเป็นเด็กที่กินยาเก่งมาก ขณะที่เด็กส่วนใหญ่ร้องไห้กระจองอแงเวลาต้องกินยา แต่ลูกชายของฉันกลับวิ่งเข้าหาฉัน แล้วคุกเข่าอ้อมวอนกอดขาฉันข้างหนึ่งเพื่อขอกินยาเพิ่มหลังจากกินจนครบทุกขวดไปแล้ว ! ฉันหัวเราะจนน้ำตาไหลเพราะไม่เคยเห็นเด็กคนไหนชอบกินยาเท่ากับลูกชายของฉันมาก่อน
จวบจนวันนี้เป็นเวลาเกือบสองปีแล้วที่ฉันเลี้ยงดูลูกชายต่างสายเลือดคนนี้ ความรักความผูกพันระหว่างเรามีมากมาย จนฉันสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า สายเลือดที่แตกต่างไม่ได้ทำให้ความผูกพันระหว่างเราลดน้อยลงเลย ตรงกันข้ามมันกลับทำให้ฉันยิ่งรักลูกมากขึ้น และอยากทำให้ลูกเชื่อมั่นว่า แม่ที่ไม่ได้อุ้มท้องและคลอดเขาออกมาสามารถให้ความรักเขาได้ไม่น้อยไปกว่าแม่คนไหน ๆ ในโลกใบนี้
...................................................................................
ไม่มีความเห็น