วันนี้และพรุ่งนี้(23-24ก.พ.)มีการสัมมนาเพื่อบูรณาการงานชุมชนสู่มาตรฐานงานชุมชนของสนง.พัฒนาชุมชนจ.นครศรีธรรมราช
ผมได้รับเชิญไปร่วมเป็นวิทยากรพรุ่งนี้เช้าหัวข้อ
เวทีเจรจาแนวทางความร่วมมือสนับสนุนกลุ่มเป้าหมายมชช.โดยมีพี่ปุก(บุญตรี
ไชยรักษ์)ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มงานส่งเสริมและพัฒนาเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้
ซึ่งตรงกับงานบูรณาการจัดการความรู้แก้จนเมืองนคร
ที่พวกเรากำลังขับเคลื่อนกันอยู่
ที่จริงมชช.ก็คือการประเมินตนเองเพื่อไปสู่มาตรฐานที่ร่วมกันตั้งไว้
คือตารางอิสรภาพนั่นเอง
จะมี 4มาตรฐานคือ ผู้นำ องค์กร เครือข่าย และชุมชน
ในการทำงานต้องการความร่วมมือจากภาคีต่างๆเพราะผู้นำชุมชนมีหลายด้าน
องค์กร/เครือข่ายก็เช่นเดียวกัน ชุมชนเป็นองค์รวมยิ่งต้องมองทุกด้าน
มชช.จึงสอดคล้องกับโครงการบูรณาการจัดการความรู้แก้จนเมืองนครเป็นอย่างยิ่ง
แต่ก็มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการโดยมีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานกรรมการอีกชุดหนึ่งต่างหาก
อย่างไรก็ตาม ความคิดเรื่องเชื่อมโยงงานประจำกับโครงการบูรณาการทุกคนต่างเห็นภาพร่วมกัน ผมคิดว่าหัวหน้าทีมคือพี่ปุกจะได้นำแนวคิดดังกล่าวเชื่อมโยงเข้ามาในงานมชช.อย่างกลมกลืนกับการเคลื่อน400หมู่บ้านที่เรากำลังจะดำเนินการ เป็นการยิงนกทีเดียวได้2ตัว
การทำเรื่องนี้ต้องอาศัยความต่อเนื่อง ความอดทนเพราะเราทำงานบนสถานะการณ์จริงที่ควบคุมตัวแปรได้จำกัดมาก แต่ความเป็นจริงก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ผมเห็นว่าความล้มเหลวส่วนใหญ่มาจากข้อจำกัดในการขยายผลที่ทำให้ความคิดดีๆหรือตัวอย่างดีๆ ไม่สามารถผลิตซ้ำได้ การจัดการกับความรู้ในเรื่องนี้จึงเป็นความท้าทายมาก
ครูชบใช้แนวทางขับเคลื่อนสัจจะลดรายจ่ายวันละ1บาทโดยชุมชนเป็นหลัก ไม่หวังพึ่งส่วนราชการเลย ใช้คณะกรรมการที่ผู้ว่าสงขลาเป็นประธานเพื่อเป็นใบเบิกทางเท่านั้น เรื่องอื่นๆมูลนิธิลุยเอง
ก็ได้ผลดี
แต่หากจะทำซ้ำก็ต้องหาคนอย่างครูชบจังหวัดละคนอย่างนั้นหรือ?
หลายคนพูดถึงการผลักดันเป็นนโยบาย
เมื่อเป็นนโยบายแล้วจะสำเร็จได้โดยง่ายอย่างนั้นหรือ?
ตอนนี้เรามีนโยบายดีๆและตัวอย่างภาคปฏิบัติชั้นเลิศมากมาย
โดยไม่ต้องไปหาจากต่างประเทศเลย แต่ผลิตซ้ำได้จำกัดมาก
นโยบายเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ โรงปุ๋ยอินทรีย์ 1 อำเภอ
1โรง
นโยบายเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน นโยบายเมืองไทยแข็งแรง
ดีๆทั้งนั้น
แต่มีปัญหาเรื่องการขยายผล
ผมเคยอยู่วงรอบองค์กรพัฒนาเอกชนมาก่อน ในแต่ละพื้นที่ทำงานเกาะติดอย่างต่อเนื่องหลายปี งบประมาณมหาศาล และมีความคล่องตัวในการทำงานด้วย แต่เกิดผลเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก
ไม่รู้เพราะอะไร?
ภาคส่วนอื่นๆก็เช่นเดียวกัน
พูดแบบกำปั้นทุบดินก็คือ มันเป็นเช่นนั้นเอง
เพราะธรรมชาติคือการอิงอาศัยกัน เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้ถึงมี
ความรู้นี้ควรเป็นความรู้สำคัญ เพื่อให้การทำงานที่มุ่งมั่นตั้งใจไม่ตึงเครียด
ทำไปให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำตามหน้าที่ ไม่ต้องไปแบกไว้บนบ่า
จัดการความรู้เรื่องนี้ไม่ได้ อาจกลายเป็นความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
ต้องระวังให้ดี (เตือนตัวเองด้วยความหวังดีนะ)
ไม่มีความเห็น