พี่เม่ยเล่าว่า "ตอนแรกเลยก็วางตัวไม่ค่อยถูก คอยแต่ห่วงว่าน้องๆแต่ละทีมจะทำโน่นไม่ได้ ทำนี่ไม่เป็น ตัวเองก็ทำท่าว่าจะเข้าไปลงมือทำให้ไปเสียทั้งหมด แต่พอนึกได้ว่าหน้าที่ของพี่เลี้ยงคือช่วยสนับสนุน ไม่ใช่ลงมือทำเอง จึงบังคับตัวเองให้ “ถอยออกมาหนึ่งก้าว” เพื่อให้แต่ละทีมได้มีโอกาสแสดงความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ แล้วก็พบว่า ทุกคนสามารถทำได้ดีเกินคาด ทำให้พี่เม่ยภูมิใจในตัวน้องๆมาก"
สมดังคำภาษาอังกฤษที่ว่า vision is the art of seeing thing invisible (คำที่สละสลวยคงต้องให้พี่โอ๋-อโณช่วยแปลให้) มีนิทานเรื่องหนึ่งที่กล่าวถึงพ่อค้าขายรองเท้าสองคน เดินหลงทางไปถึงเกาะแห่งหนึ่ง คนทั้งเกาะไม่มีใครสวมรองเท้าเลย พ่อค้าคนแรก คิดในใจแล้วว่า ซวยแล้วตรุ และนี่ตรุจะขายใคร ในขณะที่อีกคนคิดในใจว่า โอ้พระเจ้าจ๊อด มันยอดมาก ทั้งเกาะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย ทีนี้เราก็รวยแล้วซิ โอกาสงามๆของเรามาถึงแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่มีข้อสรุป เพราะในความคิดของคนคงไม่มีถุกหรือผิด เพียงแต่มุมมองที่ต่างกัน ทำให้ผลของการกระทำต่างกันด้วย ในสถานที่เดียวกัน บรรยากาศเดียวกัน คนสองคนอาจมองต่างมุมกันอย่างสุดขั้ว คุณจะเลือกเป็นแบบไหน
งั้นผมก็เปิดโรงงานผลิต betadine ส่งขายพี่เม่ย พร้อมกับไปเหมาผงซักฟอก มา repack ใหม่ เอามาขายต่อ ก็ใช้ถุงเท้ามันก็ต้องซักนี่นะ ถ้าไม่ซักสัก 10 วัน ไม่มีใครเดินใกล้แน่
เห็นมั้ยว่า ธุรกิจเริ่มเฟื่องฟู
ใครมี idea จะทำอะไรบนเกาะสวาทหาดสวรรค์ (อย่าคิดมาก มันเป็นชื่อหนัง) แห่งนี้อีกมั้ย