Storytelling ของ"พี่เม่ย" : "ถอยออกมาหนึ่งก้าว"


อย่ากลัวความยาก อย่ากลัวความลำบาก
    เรื่องนี้เป็นการบันทึกต่อเนื่อง จากกิจกรรมกลุ่ม 5 ในการสัมมนาฯ  เพราะพี่เม่ยเป็น "ประธาน" ในการทำกิจกรรมกลุ่ม จึงเป็นผู้เล่าเรื่องคนสุดท้าย 
พี่เม่ยเล่าว่า "ตอนแรกเลยก็วางตัวไม่ค่อยถูก  คอยแต่ห่วงว่าน้องๆแต่ละทีมจะทำโน่นไม่ได้ ทำนี่ไม่เป็น ตัวเองก็ทำท่าว่าจะเข้าไปลงมือทำให้ไปเสียทั้งหมด  แต่พอนึกได้ว่าหน้าที่ของพี่เลี้ยงคือช่วยสนับสนุน ไม่ใช่ลงมือทำเอง  จึงบังคับตัวเองให้ ถอยออกมาหนึ่งก้าว” เพื่อให้แต่ละทีมได้มีโอกาสแสดงความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ แล้วก็พบว่า ทุกคนสามารถทำได้ดีเกินคาด ทำให้พี่เม่ยภูมิใจในตัวน้องๆมาก"
   "โอกาส" ค่ะ.. ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้แต่ละทีมประสบความสำเร็จก็คือ มีโอกาสได้แสดงความสามารถของตนเองอย่างเต็มที่ ได้คิดเองทำเองทุกขั้นตอนจนประสบความสำเร็จ บทสรุปของเรื่องเล่านี้ ทำให้พี่เม่ยบอกตัวเองว่า ถ้าเรามี "โอกาส" ที่จะได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์ ก็อย่าปล่อยให้หลุดลอยไปกับการ"ปฏิเสธ"  อย่ากลัวความยาก อย่ากลัวความลำบาก ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถของเราเองหรอกค่ะ
   เขียนถึงตอนนี้ก็ให้นึกถึงบันทึกของคุณ "ไมโตคอนเดรีย" แห่งแดนปลาดิบ ขออนุญาต ลิงค์ นะคะ ซึ่งตอนนี้มองเห็นความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม ก็เพราะการไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปโดยแท้
หมายเลขบันทึก: 16364เขียนเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2006 10:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 พฤษภาคม 2012 21:38 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)
ค่ะ โอกาสสำคัญมาก อย่าปล่อยให้หลุดลอย อย่าถล่มตัว กลัวว่าจะทำไม่ได้  แต่ที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือ การรู้จักมองสิ่งหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาให้เป็นโอกาส โดยไม่ต้องรอการหยิบยื่น

สมดังคำภาษาอังกฤษที่ว่า vision is the art of seeing thing invisible (คำที่สละสลวยคงต้องให้พี่โอ๋-อโณช่วยแปลให้) มีนิทานเรื่องหนึ่งที่กล่าวถึงพ่อค้าขายรองเท้าสองคน เดินหลงทางไปถึงเกาะแห่งหนึ่ง คนทั้งเกาะไม่มีใครสวมรองเท้าเลย พ่อค้าคนแรก คิดในใจแล้วว่า ซวยแล้วตรุ และนี่ตรุจะขายใคร ในขณะที่อีกคนคิดในใจว่า โอ้พระเจ้าจ๊อด มันยอดมาก ทั้งเกาะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย ทีนี้เราก็รวยแล้วซิ โอกาสงามๆของเรามาถึงแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่มีข้อสรุป เพราะในความคิดของคนคงไม่มีถุกหรือผิด เพียงแต่มุมมองที่ต่างกัน ทำให้ผลของการกระทำต่างกันด้วย ในสถานที่เดียวกัน บรรยากาศเดียวกัน คนสองคนอาจมองต่างมุมกันอย่างสุดขั้ว คุณจะเลือกเป็นแบบไหน

1. พี่เม่ยเลือกขาย "เบต้าดีน" เป็นอันดับแรก (แหม..เล่นไม่ใส่รองเท้ากันอย่างน้าน..)
2. พอเขาขายรองเท้ากันเสร็จ พี่เม่ยก็ขาย "ถุงเท้า" ต่อเล้ย
   ไม่ได้ล้อเล่นนะคะ เพียงแต่อยากคิด นอกกรอบ ที่คุณไมโตวางกับดักไว้เท่านั้นเองค่ะ

งั้นผมก็เปิดโรงงานผลิต betadine ส่งขายพี่เม่ย พร้อมกับไปเหมาผงซักฟอก มา repack ใหม่ เอามาขายต่อ ก็ใช้ถุงเท้ามันก็ต้องซักนี่นะ ถ้าไม่ซักสัก 10 วัน ไม่มีใครเดินใกล้แน่

เห็นมั้ยว่า ธุรกิจเริ่มเฟื่องฟู

ใครมี idea จะทำอะไรบนเกาะสวาทหาดสวรรค์ (อย่าคิดมาก มันเป็นชื่อหนัง) แห่งนี้อีกมั้ย

 

ทั้งเกาะ "เท่าไหร่?"
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท