เรื่องเล่าของพยาบาลที่เป็นมะเร็ง(2)


เรื่องเล่าของพยาบาลที่เป็นมะเร็ง(ตอน 2)

                                                                                                          สุวิมล       สุภามา

โรงพยาบาลวังสะพุง อ.วังสะพุง จ.เลย

3 วันต่อมา (รวดเร็วดังนิยาย) ด้วยเพื่อนที่แสนดีติดตามผลชิ้นเนื้อให้ เพื่อนโทรมาบอกว่าผลชิ้นเนื้อออกแล้ว คำถามที่ฉันถามเพื่อนก็คือ ผลเป็นอย่างไร คำตอบจากเพื่อนบอกมาว่าเดี๋ยวอาจารย์แพทย์จะมาบอกเอง เพียงแค่นี้ฉันก็รู้แล้วว่ามันคืออะไร ตอบไปว่างั้นคิดว่ารู้แล้วอ่านผลมาเลย เพื่อนก็อ่านให้ฟังว่า Bronchogenic Adenocarcinoma well differentiate พร้อมกับบอกว่าถ้าฉันอยากโทรศัพท์ปรึกษาอาจารย์แพทย์ที่โรงพยาบาลอื่น หรืออาจารย์แพทย์ท่านใดที่ฉันรู้จักก็โทรเลย วางหูโทรศัพท์แล้วจะขึ้นมาหาที่ห้อง  ฉันโทรหาอาจารย์แพทย์ที่รู้จัก พร้อมขอคำแนะนำ ท่านกรุณาให้ข้อมูลอย่างละเอียด ชี้ให้เห็นข้อดีของผลชิ้นเนื้อที่  well differentiate และข้อดีที่ฉันไม่มีอาการแสดงเหนื่อยหอบ พร้อมทั้งถามย้ำถึงข้อสงสัยที่ฉันอยากรู้ ให้ข้อแนะนำที่ต้องถามแพทย์ที่จะทำการรักษาในเรื่องต่างๆ และย้ำว่าหากมีอะไรที่อาจารย์ช่วยได้ท่านยินดี และจะสอบถามวิทยาการ การรักษาใหม่ๆ จากอาจารย์แพทย์ท่านอื่นให้ และในขณะเดียวกัน เพื่อนที่อยู่โรงเรียนแพทย์อีกแห่งหนึ่ง ก็จะเรียนปรึกษาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญให้ด้วยเช่นกัน  ทั้งๆ ที่ทำใจไว้แล้วตั้งแต่ก่อนผ่าตัดว่า 50-50 ที่อาจจะใช่และไม่ใช่มะเร็ง ฉันก็ยังไม่วายมีอาการช็อค สติกระเจิดกระเจิงจนได้  ฉันนั่งร้องไห้เงียบๆ น้ำตาค่อยๆ ไหลริน ไม่มีเสียงสะอื้น ไม่มีเสียงคร่ำครวญ เมื่อเพื่อนเข้ามากอด ฉันยังพยักหน้ากับเพื่อนบอกว่าไม่เป็นไร ฉันยังเข้มแข็งและไม่ท้อ  ความรู้สึกช็อค ครั้งนี้ ยังเป็นเหมือนเดิม คือ ตกใจ งุนงง สับสน แต่สามารถควบคุมสติให้อยู่กับปัจจุบันได้เร็วขึ้น หลังเวลาเลิกงานฉันเห็นแพทย์ประจำบ้าน 2 ท่านมาดูchart แต่ไม่แวะมาที่ห้อง สักพักญาติฉันที่ทำงานที่ห้องผ่าตัดก็มาเยี่ยม เกริ่นเรื่องผลชิ้นเนื้อ ฉันเลยบอกไปตรงๆ ว่าฉันทราบผลแล้ว ญาติเล่าให้ฟังว่าแพทย์ 2 ท่านที่ฉันเห็นนั้น ไม่กล้าเข้ามาเยี่ยมฉันที่ห้องกลัวฉันถามเรื่องผลชิ้นเนื้อแล้วก็ไม่กล้าที่จะบอกผล ญาติฉันจึงรับหน้าที่จะมาบอกแทน แต่เมื่อมาถึงปรากฏว่าฉันรู้แล้ว และอยู่ในอาการสงบเป็นอันดี เขาก็วางใจ ฉันบอกผลชิ้นเนื้อกับน้อง พร้อมกับวางแผนว่าจะขอกลับไปเยี่ยมบ้านและบอกผลกับพ่อแม่ แต่เช้าวันถัดมาพ่อกับแม่ก็มาเยี่ยมที่โรงพยาบาล ฉันน้ำตาซึมขณะที่ต้องบอกว่าเป็นมะเร็ง พ่อเงียบไปครู่ใหญ่ แล้วก็พูดว่า เดี่ยวนี้วิทยาการสมัยใหม่เจริญก้าวหน้าไปเยอะมากแล้วสำหรับการรักษามะเร็ง.....ไม่เป็นไรหรอกลูกการช็อค ครั้งนี้ของฉันใช้เวลานานถึง 2 วัน เป็นที่น่าสังเกตว่าแพทย์พยายามเลี่ยงที่จะพูดคุยถึงการเป็นมะเร็ง พยาบาลในตึกพยายามเลียบเคียงถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันก็จะยิ้มพร้อมกับตอบว่าสบายดี ทุกเช้าฉันจะตื่นมาทำสมาธิ เดินจงกรมกำหนดอิริยาบถย่อย พยายามกำหนดสติอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด ทุกเย็นก่อนนอนต้องสวดมนต์ ทำสมาธิ ซึ่งเป็นกิจวัตรตั้งแต่มานอนโรงพยาบาล พยายามทำชีวิตให้เหมือนปกติที่บ้าน จำได้ว่าเมื่อพี่ท่านหนึ่งโทรศัพท์มาถามอาการเจ็บป่วยด้วยความห่วงใย ฉันก็ตอบไปตามตรงว่าเป็นมะเร็ง แต่ยังไม่อยากบอกให้ใครทราบมากนัก ฉันต้องการเวลาที่จะยอมรับการเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งให้ได้อย่างเต็มที่  และต่อมาเมื่อมีใครถามถึงการเจ็บป่วยฉันก็ตอบด้วยเสียงธรรมดาว่าฉันป่วยเป็นมะเร็ง จนมีคนทักว่าทำไมฉันพูดแบบนั้นเต็มปากเต็มคำ ทำเอาฉันงงเหมือนกันว่าแล้วฉันควรจะตอบว่าอย่างไร หรือแสดงท่าทีอย่างไรเมื่อมีใครมาเยี่ยม แล้วข่าวการเจ็บป่วยของฉันด้วยโรคมะเร็งก็กลายเป็น Hot Issue ไปในพริบตาในยุค cyber  ทุกคนที่รู้ข่าวการเจ็บป่วยของฉันก็จะหาหนังสือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง การดูแลตนเองด้วยอาหารแบบแมคโครไบโอติค  ชีวจิต  การปฏิบัติสมาธิ  หนังสือตลกขำขันฯลฯ พร้อมกับอาหารเสริมต่างๆ ที่คิดว่าจะช่วยต่อต้านเซลล์มะเร็งมาให้ เพื่อนฝูงทั้งที่อยู่ในวงการเดียวกัน นอกวงการ(ยังกับนักแสดง) เดินทางมาเยี่ยมไม่ขาดสาย มานอนเป็นเพื่อน พานั่งสมาธิ  พาออกกำลังกาย ฯลฯ  การที่ทุกคนช่วยกันประคับประคอง  ให้กำลังใจ เท่ากับปลุกพลังในตัวฉันให้สู้ ไม่ให้ถอย สุดท้ายฉันเองก็คิดได้ว่าการเป็นมะเร็งไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป จะแปลกอะไรเมื่อมัน(มะเร็ง) อยากอยู่กับฉัน  ฉันก็จะอยู่ร่วมกับมันอย่างมีความสุข

การที่ฉันเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งไม่เพียงแค่ฉันเท่านั้นที่ช็อค ผู้ที่เกี่ยวข้องรอบกายทุกคน ก็มีอาการ อาฟเตอร์ช็อค ตามมาติดๆ เพราะการดูแลสุขภาพของฉันที่บอกได้ว่า ดีมาก  ที่บ้านปลูกผักทานเอง ไม่ทานหวาน ไม่ทานจุบจิบ  งดกาแฟหันมาดื่มไมโลกับน้ำชาแทน (ฮา) วิตามิน อาหารเสริมชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย กินแล้วแข็งแรง ราคาแพงฉันมีทุกชนิด ออกกำลังกายถ้าอยู่ที่บ้านพยายามให้ได้ 3 วันตามเกณฑ์ต่อสัปดาห์  น้อยคนที่จะเห็นฉันมีอาการเจ็บป่วยทางกาย ทุกคนเห็นฉันสดใส สวยงาม สดชื่น หน้าใสเด้ง สุขภาพจิตดี อ้วนอวบตามวัย มีแรงทำงานสม่ำเสมอ เดินทางไปได้ทุกทั่วสารทิศ  ไม่มีอาการน้ำหนักลด ซีดเซียว มีบางคนเท่านั้นที่รู้ว่าฉันมีอาการปวดท้องเป็นช่วงๆ เวลาปวดท้องฉันต้องนอนอย่างเดียวนอนนิ่งๆ ให้หลับไปบางครั้งต้องไม่ทานอาหาร เพราะถ้าทานมันจะถ่ายออกมาหมด แต่เมื่อนอนพัก อาการปวดหายไป ฉันก็จะลุกขึ้นมาทำงาน ทำกิจกรรมต่างๆ ต่อได้ กระทั่งตัวเองนึกว่าฉันนี่น่าจะเข้าข่ายโรคสำออย  โรคอ้อนเหมือนกัน แต่ฉันก็บอกกับตัวเองว่า มันเจ็บจริงๆนะ ไม่ได้สำออยหรือเรียกร้องความสนใจเป็นเด็กมีปัญหาสักหน่อย (แหม ขนาดตรวจเลือดหา CEA. สารก่อมะเร็งก็ปกติ และผลทำ Barium enema ก็ปกติ อาจารย์แพทย์ท่านยังรักษาแบบIrritable bowel syndrome เลย) 

การเจ็บป่วยของฉันทำให้บรรดาพี่น้อง เพื่อนฝูง ฯลฯ ที่มาเยี่ยมและรู้ภาวะการเจ็บป่วยต่างเกิดอาการวิตกจริตหนาวๆร้อนๆ ไปตามๆ กัน ด้วย เฮ้ย อื๋ย อะไรกันมัน (ฉัน) ดูแลสุขภาพดีกว่าเพื่อน พี่ น้อง ยังป่วยด้วยมะเร็งเลย แล้วตู (เพื่อนๆ, ผู้รู้ข่าวและผู้มาเยี่ยม ) จะเหลือเร๊อะ ว่าแล้วกระนั้น ก็มีสมาชิกแบ่งออกเป็นสามพวก พวกแรก กลับไปดูแลตนเองดีขึ้น กินผักผลไม้มากขึ้นและจะตรวจเช็คสุขภาพ กับพวกที่สองกินตามปกติพร้อมให้เหตุผลว่าอาจจะมี (มะเร็ง) แล้วในร่างกายอย่าไปยุ่งกับมันเลย ไม่ต้องรู้ ดังนั้นกลุ่มที่สองนี้ยืนยันที่จะไม่ตรวจร่างกายเด็ดขาด  และพวกที่สามเกิดอาการประสาทกำเริบ วิตกจริต ด้วยว่ามีอาการคล้ายๆ ฉัน เลยพาลคิดว่าจะเป็นมะเร็งตามไปด้วย ท่านอ่านแล้วคิดว่าตัวท่านเองจัดอยู่ในประเภทใด กรุณากาเครื่องหมายถูกหน้าข้อความที่ท่านเลือกด้วยนะคะ

ระหว่างนี้ฉันรอการดูแลจากแพทย์ทางอายุรกรรม เคมีบำบัด เนื่องจากต้องได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด เมื่อแพทย์ประจำบ้านท่านมาตรวจฉันก็ได้ถามถึงระยะและอาการของโรค เมื่อฟังคำตอบแล้วฉันเองที่เป็นพยาบาลอยู่แล้วก็งง ไม่ค่อยเข้าใจ แพทย์ก็งงว่าทำไมฉันจึงไม่เข้าใจ จึงบอกให้เขียนคำถามไว้ถามอาจารย์แพทย์ที่จะมาตรวจอีกที ขณะรอคำตอบที่ชัดเจนฉันก็ปลุกปล้ำกับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กเพื่อต่อกับระบบอินเตอร์เน็ตแบบไร้สายในโรงพยาบาลและก็ท่องไปในโลกของกูเกิลในสิ่งที่อยากรู้ แล้วสิ่งที่ทราบมันก็ทำให้ฉันนอนแทบไม่หลับ นี่ฉันป่วยอยู่ในระยะ 3 หรือ 4 แล้ว เพราะถือว่ามีการแพร่กระจายไปที่ปอดอีกข้าหนึ่ง และเวลาที่เหลืออยู่ประมาณ 1 ปี เอาเหอะไม่เป็นไรรู้เวลาที่เหลืออยู่ดีกว่าไม่รู้วันตายของตนเอง เมื่ออาจารย์แพทย์ท่านมาตรวจท่านบอกว่าการเจ็บป่วยด้วยมะเร็งนี้อยู่ในระยะแพร่กระจาย คือระยะที่ 4 ขนาดว่าเตรียมตัว เตรียมใจแล้วยังไม่วาย ใจหายวูบวาบ ถามท่านว่าแล้วฉันจะอยู่ได้นานสักกี่ปี ท่านก็เงียบถามว่าฉันมีลูกกี่ขวบ ท่านเข้าใจ เป็นว่าจะใช้ยาตัวที่ดีที่สุดและทำให้ฉันมีคุณภาพชีวิตที่ดี ตั้งเป้าหมายร่วมกันที่ 1 ปีก่อน โดยทั่วไปประมาณ1-1 1/2 ปี จะมีการดื้อยาเกิดขึ้นแล้ว ฉันรับรู้ แล้วก็ตั้งหลักให้มั่น ทำงานที่คั่งค้าง ผู้ที่มาเยี่ยมจึงเห็นว่าบางครั้งฉันนั่งทำงาน ฉันก็ต้องบอกว่าจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน จะได้มีสมาธิ จริงๆแล้วฉันกลัวตายไปแล้วงานยังติดค้างอยู่ต่างหาก และสมองฉันก็ไม่ได้ป่วย ไม่ได้ฝ่อไปด้วย ฉันพยายามทำทุกวันให้เหมือนวันสุดท้ายของชีวิตหากว่าไม่ตื่นขึ้นมาหายใจจะได้ไม่ต้องห่วงกังวลสิ่งที่เหลืออยู่  หลังจากนั้นอีก 1-2 วัน อาจารย์แพทย์ทางอายุรกรรม เคมีบำบัด แจ้งว่ามะเร็งปอดที่ตรวจพบน่าจะมีการกระจายมาจากที่อื่นไม่น่าที่จะเริ่มต้นที่ปอดเลย ฉะนั้นต้องค้นหาจุดเริ่มต้นของโรค (primary source) โดยการตรวจพิเศษหลายอย่างเพื่อดูการกระจายของโรคด้วยว่าไปที่ใดแล้วบ้าง ว่าแล้วมหกรรมการตรวจพิเศษก็เริ่มขึ้น ทั้ง Colonoscopy , CT abdomen,  Mammogram และ Bone scan  การตรวจทุกอันเสร็จสิ้นภายในเวลา 2 สัปดาห์ ซึ่งนับว่าเร็วมาก ผล Colonoscopy  พบก้อนในลำไส้โตประมาณ 4 เซนติเมตร อยู่สูงจากทวารหนักขึ้นไป 25 เซนติเมตร และผลชิ้นเนื้อที่ออกมาคือ Adenocarcinoma well differentiate งวดนี้ความรู้สึกต่อการเป็นมะเร็งของฉันมันเฉยๆ เหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้วฉันมีความรู้สึกเหมือนโล่งอกกลายๆ  ด้วยซ้ำเพราะตัวเองก็คิดว่าจุดเริ่มที่ควรและน่าจะเป็นได้ก็ควรจะมาจากตรงที่ปวดท้องมีอาการถ่ายเหลวที่กลัวนี้แหละ ระหว่างนี้ก็มีการตรวจเลือดฉันไปด้วยซึ่งผลเลือดที่จะบอกเกี่ยวกับการป่วยด้วยมะเร็งปกติทุกตัว (ย้ำว่าปกติทุกตัว) ดังนั้นเมื่อแพทย์บอกว่าฉันต้องได้รับการผ่าตัดอีกครั้งเพื่อตัดเนื้องอกในลำไส้ทิ้ง ฉันจึงตอบตกลงทันที และก็อีกเช่นกันมีผู้ที่เชื่อถือแพทย์ทางเลือกได้มีการชักชวนให้ฉันไม่ต้องรับการผ่าตัด มีการกล่าวถึงการรักษาด้วยทางเลือกเช่น การปฏิบัติตัวด้วยการรับประทานอาหารแบบชีวจิต การปฏิบัติสมาธิ ที่จะช่วยให้หายจากโรคมะเร็งได้ อย่างไรก็ตามฉันยืนยันที่จะรักษาด้วยการผ่าตัดและขณะเดียวกันฉันก็ปฏิบัติสมาธิ และรับประทานอาหารแบบแมคโครไบโอติคควบคู่ไปด้วย

การผ่าตัดครั้งที่ 3 สำหรับการนอนโรงพยาบาลภายใน 2 เดือนนี้ (เป็นการผ่าตัดครั้งที่ 5 ในชีวิตฉัน) ก็เริ่มต้นขึ้น ฉันได้รับการอธิบายเรื่องการตัดก้อนเนื้องอกในลำไส้ การตัดต่อลำไส้ ไว้ข้างในเช่นเดิม ไม่ต้องยก  Colostomy (การถูกสาวไส้ออกมาดู งวดนี้ลำไส้ฉันมีกี่ขดจะถูกเอาออกมาดูหมด) การปิดรูรั่วที่กระเพาะปัสสาวะ (ฉันเปรียบเทียบเหมือนการปะผุหม้อน้ำรถยนต์) และการวางแผนสำหรับการนอน ICU. การผ่าตัดครั้งนี้ฉันไม่ได้คาดหวังอะไร บอกกับทุกคนเหมือนเดิมว่า ถ้าตื่นก็คือตื่น ถ้าไม่ตื่นก็แล้วไป ไม่ห่วงอะไรแล้ว เข้าไปในห้องผ่าตัดระหว่างนอนรอผ่าตัด ฉันถามแพทย์ประจำบ้านท่านหนึ่งว่าฉันจะเสียเลือดประมาณเท่าใดในการผ่าตัด ท่านตอบเสียงดังฟังชัดว่า อ๋อ! Sigmiodec เสียเลือดประมาณ 20 ซีซี. เท่านั้น ฉันงุนงงแกมสงสัยว่าจริงเร๊อะ หรือแพทย์ท่านตอบแบบอยากให้เราสบายใจ และไม่กลัว (อ่านต่อตอน 3)

         

หมายเลขบันทึก: 163422เขียนเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2008 08:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 มิถุนายน 2012 23:38 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท