ฉันเคยมีประสบการณ์การวิจัยด้านโภชนาการ เมื่อฉันได้ลงมือทบทวนวรรณกรรมด้านโภชนการ ไปขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนาการ เพื่อใช้ทำงานวิจัยชิ้นนี้ ฉันได้แต่บอกกับตัวเองว่า "ไม่ชอบเลย ทำไมบริบทของศาสตร์ด้านนี้จึงวนเวียนอยู่ที่การคำนวณแคลอรี่ หลักการและรายละเอียดก็มีมากมายจนไม่มีบทสรุปที่จะหยิบเทคนิคมาใช้ง่ายๆได้เลย เทคนิคที่ปรากฎมีแต่เทคนิคที่ผู้มีการศึกษาเท่านั้นที่ทำได้ ชาวบ้านที่ไม่รู้หนังสือเรียนรู้เทคนิคไม่ได้ได้แต่จำความรู้ไปใช้"
เมื่อฉันรู้ตัวว่าต้องมาเกี่ยวข้องกับระบบดูแลเบาหวาน ฉันตั้งธงไว้ในตอนแรกว่า ฉันจะเกี่ยวข้องกับการบริหารการเชื่อมโยงระบบเท่านั้น ในช่วง 3 ปีแรกที่เกี่ยวข้องกับระบบบริการปฐมภูมิ ฉันจึงให้น้ำหนักไปที่การเชื่อมโยงและจัดการให้เกิดระบบงานที่สำคัญต่อการจัดบริการในระบบงานรักษาเบื้องต้นและระบบงานส่งเสริมสุขภาพ เรื่องที่ฉันเกี่ยวข้องจึงเป็นระดับระบบที่ใหญ่และเกี่ยวข้องเลยเถิดไปจนถึงการจัดการระบบงบประมาณ ระบบการพัฒนาคนให้มีความพร้อมต่อการจัดบริการ
ความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคน ทำให้ฉันเกี่ยวข้องลึกขึ้นเรื่อยๆกับระบบการดูแลเบาหวาน ความดันโลหิตสูง แล้วฉันก็พบว่า ระบบบริการระดับปฐมภูมิจะหนุนส่งให้คนเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูงปลอดภัยเมื่อเข้ามาใช้บริการจากระบบ มีหัวใจสำคัญอันดับแรกอยู่ที่ระบบ HRD
ผลผลิตสำคัญที่ระบบบริการโรคเรื้อรังต้องการจาก HRD คือ คนในระบบเบาหวานต้องที่มีองค์ความรู้ด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย ความรู้ด้านยา การบริหารยา และ การประเมินความเจ็บป่วยเพียงพอต่อการให้บริการส่งเสริมสุขภาพในระบบ ผลลัพธ์จึงจะทำให้ประชาชนปลอดภัย และคนในความหมายนี้ ไม่เพียงหมายถึง สหวิชาชีพในระบบบริการ หากแต่ยังหมายถึง ประชาชนทั่วไปด้วย
ประสบการณ์จากงานวิจัยโภชนาการ ทำให้ฉันเกิดคำถามที่ต้องค้นคำตอบว่าจะทำอย่างไร
"แค่เรื่องโภชนการก็มีอะไรยุ่งๆยากๆเยอะ แล้วไหนจะเรื่องยา ออกกำลังกาย และโรคอีก ถ้าจะให้ทั้งสหวิชาชีพและประชาชนมีความรู้เพียงพอจะทำอย่างไร"
ในระหว่างการค้นหาคำตอบ ฉันก็ปิ๊งแวบขึ้นว่า "เออ! เวลาฉันคุยกับคนไข้ที่จบป.4 ด้วยการใช้คำพูดพื้นๆง่ายๆ ฉันใช้เวลาทำให้คนไข้เข้าใจสิ่งที่ฉันต้องการบอกสั้นกว่าใช้ภาษาวิชาการแบบหมอๆ" พอแวบเรื่องนี้ขึ้นมา ก็แวบถึงความรู้ที่ได้จากหลักสูตร TQM ตั้งแต่ปีมะโว้ ที่พี่อนุวัฒน์ ศุภชุติกุล บุรุษคนสำคัญแห่งพ.ร.พ. เคยเล่าให้ฟัง
ถ้าคิดไม่ออกว่า จะลำดับความสำคัญก่อนหลังอย่างไร หรือ เลือกประเด็นเริ่มไม่ถูก ให้นึกถึงกล้วยกับหมูเขี้ยวตัน การหาอาหารมาใส่ปาก ถ้าเลือกกล้วยเป็นอาหาร หากล้วยมาปอกเข้าปากง่ายกว่าหาหมูเขี้ยวตันมาเป็นอาหาร กล้วยจึงเป็นตัวแทนของความง่ายที่จะลงมือทำ ตามคำไทยๆที่ใช้พูดกันว่า "ของกล้วยๆ" หมูเขี้ยวตันจึงเป็นตัวแทนของความยาก ก็จะได้หมูเขี้ยวตัน คือ หมูป่า มาเป็นอาหารต้องใช้เข้าป่า ต้องใช้ สมองและกำลังไปล่ามา ตามคำไทยที่ใช้พูดกันว่า "เขี้ยวจริงๆ"
ประเด็นความคิดนี้ ทำให้ฉันคิดเชื่อมโยงมาถึงค่าความดันเลือดของคน ซึ่ง ณ วันนี้กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งรัดงานให้มีการคัดกรองที่ครอบคลุม
แต่ก่อน ฉันจะเป็นคนที่แอนตี้ประโยคที่มักได้ยินเหล่านี้เสมอ " มีปัญหาสุขภาพอะไร ให้ไปพบหมอ คิดว่าเป็นอะไร ไม่สบายใจให้ไปปรึกษาแพทย์" การเรียนรู้จักคนและการต้องมาทำงานในด้านการส่งเสริมสุขภาพในบริบทการนำทีมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพทำให้ฉันต้องคิดใหม่ เพราะ การส่งเสริมสุขภาพ คือ การทำอะไรก็ได้ วิธีไหนก็ได้ ที่ทำให้บุคคลสามารถดูแลตนเองได้ด้วยตนเอง
หากฉันจะไม่ให้ใครมาหาฉัน ฉันก็ต้องสร้างคนที่รู้และพูดแทนฉันได้ หากฉันไม่ต้องการให้รุ่นน้องๆลูกๆของฉันทำงานหนัก ฉันก็ต้องสร้างทีมงานที่สามารถสอนให้ประชาชนเกิดจินตภาพมองเห็นสุขภาพตนเองจนหันกลับมาดูแลตนเองได้
การต้องทำงานในระบบดูแลผู้ป่วยเบาหวาน ทำให้ฉันเริ่มทบทวนดูเวชระเบียนผู้ป่วยเบาหวาน ข้อมูลจากเวชระเบียนทำให้ฉันพบประเด็นของการพัฒนาคุณภาพ เกี่ยวกับผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง ประเด็นนั้นคือ การ CQI ในเรื่อง "นิยามความดันเลือดที่ใช้"
ประเด็นนี้ทำให้ ฉันได้กลับไปทวนความรู้เกี่ยวกับด้านสรีรวิทยาระบบไหลเวียนเลือดที่ทิ้งขว้างไปเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว เพื่อนำมาใช้เป็น evidence-based อ้างอิงเพื่อขอให้ผู้เชี่ยวชาญปรับปรุงระบบการดูแลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ค่าความดันเลือดแปลผล
การทวนความรู้นี้ทำให้ฉันได้ความรู้ว่า หากเราจะดูแลคนทุกคนให้มีสุขภาพดี เราต้องใช้ค่าความดันที่ 120/80 มม.ปรอท เป็นเส้นแดงขีดการสอบผ่าน ระหว่าง ปกติและป่วย เราจึงจะสามารถทำงานเชิงรุกป้องกันโรคได้ดี
นับแต่คิดว่าจะรื้อความรู้นี้กลับมาใช้ ฉันได้ลองสุ่มถาม ค่าความดันเลือดที่มีการใช้ประเมินผู้ป่วยในทีมงานของฉัน กลุ่มหมออนามัย และความเข้าใจของประชาชน ฉันก็พบว่ามีความยากพอสมควรที่จะเปลี่ยนความเข้าใจเรื่องความดันเลือดเสียใหม่
ตัวเลขต่างๆของค่าความดันเลือดที่ทีมงานของฉันใช้มีดังนี้
ค่าความดันค่าบน......90....120....130......140 มม.ปรอท
ค่าความดันค่าล่าง......80.....85.....90 มม.ปรอท
ตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวเลขที่มีการใช้จริงในการตัดสินความดันเลือด และเป็นตัวเลขที่ถุกต้องทุกตัว
สิ่งที่ฉันทำ คือ จัดกลุ่มเพื่อการนำไปใช้ใหม่ให้ง่ายของทีมงานของฉัน ดังนี้
1. หากต้องการใช้แยกความปกติ (normal) กับ การป่วย (illness) ให้ใช้ความดันค่าบน 120 มม.ปรอท และความดันค่าล่าง 80 มม.ปรอท เป็นเส้นแดงตัดสิน ต่ำกว่าเส้นแดง คือ ปกติ เลยเส้นแดง คือ เริ่มป่วยเกี่ยวกับความดันเลือดสูง
2. หากต้องการใช้แยกความป่วย (illness) กับ โรคความดันเลือดสูงในคนไข้เบาหวาน (diseases) ให้ใช้ค่าความดันค่าบน 120 มม.ปรอท และความดันค่าล่าง 80 มม.ปรอท เป็นเส้นแดงตัดสิน สูงกว่าคือ เป็นโรค
3. หากต้องการใช้แยกความป่วย (illness) กับ โรคความดันเลือดสูงแฝงในคนไข้อื่นๆ (diseases) ให้ใช้ค่าความดันค่าบน 130 มม.ปรอท และความดันค่าล่าง 85 มม.ปรอท เป็นเส้นแดงตัดสิน สูงกว่า คือ เป็นโรคแฝง
4. หากต้องการแยกความหนักเบาของโรคเพื่อเริ่มการรักษาโรคความดันเลือดสูง ให้ใช้ความดันค่าบน 140 มม.ปรอท และ ความดันค่าล่าง 90 มม.ปรอท เป็นเส้นแดงตัดสิน สูงกว่าและมีความเสี่ยงต่อระบบอวัยวะที่สำคัญและหลอดเลือด คือ เริ่มให้ยา
การเริ่มรักษานั้นจำเป็นต้องใช้ยาหรือไม่ขึ้นกับความเสี่ยงของระบบอวัยวะที่สำคัญและผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดที่ต้องนำมาใช้ร่วม
เมื่อใช้นิยาม 4 ข้อนี้ ฉันก็ได้ข้อสรุปชัดว่า เป้าหมายที่ควรทำงานส่งเสริมสุขภาพเพื่อให้เกิดการปรับพฤติกรรมที่ทุบตรงประเด็น คือ กลุ่มที่มีความดันค่าบนอยู่ระหว่าง 120-130 มม.ปรอท หรือ มีความดันล่าง 80 มม.ปรอท หากคนกลุ่มนี้ดูแลสุขภาพตนเองเป็น คนป่วยรุ่นใหม่จะลดลงทันตา
หลังจาก ฉันได้ใช้ข้อสรุปนี้ทำงานพัฒนาทีมงานของฉันและขยายผลไปจนถึงหมออนามัยของอำเภอเมืองผ่านไป 6 เดือนแล้ว ร.พ.ก็ได้รับเอกสารแผ่นพับจากกองสุขศึกษาเกี่ยวกับความรู้เรื่องความดันโลหิต สีสันเอกสารน่ากิน และชวนอ่าน ข้อความเกี่ยวกับค่าความดันในแผ่นเอกสาร ยืนยันว่า ความรู้ที่ฉันนำกลับมาใช้เองเงียบๆนั้น คือ หัวใจสำคัญที่พึงถูกบันทึกไว้ใหม่เพื่อใช้ทำงานสร้างสุขภาพต่อไป
2 กุมภาพันธ์ 2551
ไม่มีความเห็น