การจัดการความรู้: เครื่องมือพัฒนาทักษะ...การเรียนรู้
เมื่อเร็วๆนี้ดิฉันได้รับความเอื้อเฟื้อจากพี่ที่ในสำนักงาน "พี่น้อง
" (พี่ปรานอม
ภูวนัตตรัย) นำหนังสือ(สัจจสาร) ฉบับเล็ก ขนาดเอ5 ความยาว 26
หน้า มาเป็นของฝาก ...
เนื้อหาในเล่ม
คัดต้นฉบับจากสวนโมกข์ ชื่อ "กาลามสูตร
ช่วยด้วย!" ซึ่งเป็นธรรมพจน์รจนาเรื่องหนึ่งของท่านพุทธทาส
ความในเนื้อหาเป็นหลักคิด...ที่สะกิดให้หวนถึงบล๊อก..เล่าเรื่อง ...คำถามสุดฮิต ติดปากชาวกรมอนามัย... ที่ได้เขียนไป ซึ่งดิฉันได้กำหนดกติกาให้กับตัวเองว่า ขอเขียนในแบบสบายๆ ..และคำตอบของคำถาม...ก้อ!!...จะเป็นการตอบบนฐานของประสบการณ์บวกความพยายามนำเหตุผลที่น่าจะเป็นจากแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องมายึดโยงหรือร้อยเรียงกัน...เป็นคำตอบ
ประเด็นสำคัญคือ ดิฉันสะกิดตัวเองและท่านผู้อ่านว่า "ข้อควรระวัง ...โปรดใช้วิจารณญาณในการเรียนรู้" ... ด้วยเจตนาที่จะบอกกล่าว ว่า... นี่เป็นคำตอบที่เป็นความคิดเห็นของดิฉัน... ศรีวิภา แต่เพียงผู้เดียว อาจใช่หรือไม่ใช่ ...ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากชวนเชิญเพื่อนๆKM ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ค่ะ
การพยายามตอบคำถาม...สิ่งที่พี่ๆเพื่อนๆสงสัย...หรือคาดว่า..เราน่าจะช่วยค้นหาคำตอบให้ได้นั้น
ดิฉันจึงพยายามที่จะทำ(กำหนดจิตตัวเอง..และถือเป็นหน้าที่...แต่ไม่อยากกดดันตัวเองให้เป็นความเครียด...จึงเขียนกติกาให้ตัวเองในการปฏิบัติแบบสบาย...สบาย...สไตล์KM)...ด้วยปรารถนา...จะตอบสนองความคาดหวังที่ส่งมอบให้...บวกกับ...ความต้องการพัฒนาตัวเองให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
เพราะเมื่อต้องหาคำตอบ
ย่อมต้องค้นหาที่มาของคำตอบ
การจัดการความรู้
ผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
...จึงน่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้
ด้วยเหตุที่ KM...ส่งเสริมให้เกิดทักษะการฟัง(deep listening)
...พัฒนาจิตให้เป็นกุศล...ชื่นชมกับความสำเร็จของผู้อื่น(mental model)
...พัฒนาให้คิดอย่างเป็นระบบ (systematic thinking)
...เรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติ (KM ไม่ลอง...ไม่รู้ ) และ.......ฯลฯ
เมื่ออ่าน ... "กาลามสูตร ช่วยด้วย! " จึงเห็นว่า ...ทุกสรรพสิ่ง ล้วน...ใช่เลย *_*
(คุณ..คุณ ..มีความเห็นอย่างไร ค่ะ...อ่านดูแล้ว บอกต่อว่า...ที่ดิฉันคิด...ใช่หรือเปล่าค่ะ...???
๑. มา อนุสสเวน : อย่ารับเอามาเชื่อโดยการฟังบอกต่อๆกันมา
๒. มา ปรมปราย :
อย่ารับเอามาเชื่อโดยที่มีการทำตามๆสืบๆกันมา
๓. มา อิติกิราย :
อย่ารับเอามาเชื่อตามเสียงที่กำลังเล่าลืออยุ่อย่างกระฉ่อน
๔. มา ปิกสมปทาเนน :
อย่ารับเอามาเชื่อด้วยเหตุเพียงว่ามีที่อ้างในปิฎก
"ปิฎก" หมายถึงสิ่งที่ได้เขียนหรือจารึกลงไปแล้วในวัตถุสำหรับเขียน เป็นสังขารชนิดหนึ่งที่อยู่ในกำมือของมนุษย์ ทำขึ้นได้ ปรับปรุงได้ เปลี่ยนแปลงได้โดยมือของมนุษย์ จึงไม่อาจถือเอาได้ตามตัวอักษรเสมอไป
๕. มา ตกกเหตุ :
อย่าเชื่อโดยเหตุที่ว่ามันถูกต้องตามเหตุผลทางตักกะ
"ตักกะ" คือสิ่งที่เราเรียกกันว่า Logics ซึ่งมันก็ยังผิดได้ ถ้าข้อมูลมันผิดหรือวิธีคำนวณมันพลาด
๖. มา นยเหตุ : อย่าเชื่อโดยเหตุที่ว่ามันถูกต้องตามเหตุผลทางนยะ
ซึ่งเราเรียกกันในเวลานี้ว่า ฟิโลโซฟี่
ซึ่งได้ให้คำแปลว่า ปรัชญา นยะ หรือนยายะ
เป็นศาสตร์ชนิดหนึ่งที่ใช้ในการคำนวณโดยมีสมมติฐานหรือ Hypothesis
มันก็ยังผิดได้เพราะการคำนวณผิดหรือการใช้สมมติฐานไม่เหมาะสม
๗. มา อาการปริวิตกเกน:
อย่าเชื่อหรือรับเอามาเชื่อด้วยการตรึกตรองตามอาการ
ที่เราเรียกสมัยนี้ว่า คอมมอนเซ็นส์
ซึ่งเป็นเพียงความคิดชั่วแวบตามความเคยชิน
๘. มา ทิฏฐินิชฌานกขนติยา :
อย่าเชื่อด้วยเหตุเพียงสักว่าข้อความนั้นมันทนได้ หรือเข้ากันได้
กับความเห็นของตนซึ่งเป็นอยู่เดิมซึ่งมันก็ผิดได้อยู่นั่นเอง
หรือวิธีพิสูจน์และทดสอบมันไม่ถูกต้อง มันก็ไม่เข้าถึงความจริงได้
ข้อนี้มีวิธีการคล้ายกับทางวิถีทางวิทยาศาสตร์
แต่มันก็เป็นวิทยาศาสตร์ไปไม่ได้
เพราะไม่มีการพิสูจน์และทดลองที่เพียงพอ
๙. มาภพพรูปตาย : อย่าเชื่อด้วยเหตุเพียงสักว่าผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อ
ลักษณะภายนอกกับความรู้จริงในภายใน ไม่เป็นสิ่งเดียวกันได้
๑๐. มา สมโณ โน ครู-ติ : อย่าเชื่อด้วยเหตุเพียงสักว่า สมณะ(ผูพูด)
นี้เป็นครูเรา พระพุทธประสงค์อันสำคัญเกี่ยวกับข้อนี้ก็คือ
ไม่ต้องการให้ใคร เป็นทาสทางปัญญาของใครแม้แต่พระองค์เอง
แต่เชื่อเมื่อได้ใคร่ครวญด้วยเหตุผลอันเพียงพอและได้ลองปฏิบัติดูแล้ว
กาลามสูตรทั้ง ๑๐ ข้อนี้ เป็นหลักประกัน
ความไม่เป็นตัวของตัวเอง
หรือการไม่ใช้สติปัญญาของตัวเองในการตอบรับสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง
ที่เรียกกันในภาษาธรรมว่า ปรโตโฆษะ เมื่อได้ยินได้ฟังอะไร
ก็ต้องกระทำโยนิโสมนสิการ(การพิจารณาโดยแยบคาย
คิดเป็น)ในสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ มีเหตุผลจะเป็นประโยชน์มีผลดับทุกข์ได้จริง
จึงค่อยเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์
คัดย่อจาก สัจจสารของวัดพุทธปัญญา ซึ่งได้พิมพ์ขึ้นแจก และ..ข้อความตอนหนึ่งในส่วนท้ายของเรื่อง "รู้จักวัดพุทธปัญญา " (หน้า๒๑).......ท่านเจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา(พระอธิการศรีธวัช) ได้นิพนธ์ ว่า ขอให้สัจจสารจากสวนโมกข์ฉบับนี้เป็นส.ค.ส.ตามกาลสมัยของปีพ.ศ.๒๕๔๙ และจงเป็นส.ค.ส.ทุกวันตลอดชีวิตของท่านพุทธบริษัททุกฐานะ ทุกเพศ ทุกวัย จะได้เป็นพุทธศาสนิกที่ดีถูกต้องสมบูรณ์ตามพุทธประสงค์ที่ทรงประทานกาลามสูตรไว้เป็นคู่มือคู่ชีวิตทุกท่าน
หมายเหตุ อาจมีความผิดพลาดในการพิมพ์ภาษาบาลีบ้าง จึงขออภัยมา ณ โอกาสนี้*_*
...
ไม่มีความเห็น