วันนี้ ยังรู้สึกเพลียจากการเดินทางกลับจากบรรยายที่ยโสธรและกลับมาวันนี้ก็บรรยายสั้นๆให้ทีมงานดูงานจาก รพ.บางระจันถึงเที่ยงครึ่ง ทานข้าวเกือบบ่ายโมงแล้วก็ไปประชุมเตรียมการเรียนการสอนเวชศาสตร์ชุมชนนิสิตแพทย์ปี 5 รู้สึกช่วงที่หายไป2-3 วัน อยากเขียนอะไรมากมาย แต่เขียนไม่ออก พอดีก็เลยเปิดคอมฯอ่านเรื่องต่างๆที่บันทึกเก็บไว้ก็เลยนำมาเล่าให้อ่านกันแทน ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่แต่จริงหรือไม่จริงก็ตาม พอได้อ่านแล้วก็จะรู้สึกดีมากๆ ดังนี้ครับ
"อย่าหนีนะ ไอ้เด็กขี้ขโมย"
เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น
พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อ
เนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็วทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว
แม่ถามฉันว่า"อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ"
"ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ"
ป้าคนนั้นชื่อว่า
'ป้าหนอม'เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่
มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ
ในละแวกเดียวกันและเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ
แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย
ใครต่อราคาของมากเกินไปหรือถามราคาแล้วไม่ซื้อป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบ
เผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียวเสียงเอะอะดังมากขึ้นฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ12-13
ขวบไล่เลี่ยกับฉันซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่
และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือแม่จึงเดินเข้าไปถาม"พี่หนอม
มีไรหรอคะ"
"ก็ไอ้เด็กเวรนี่นะสิ มันมา
ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุพอฉันหยิบส่งให้มันก็วิ่งหนีมาเลย
เงินก็ไม่จ่าย"
พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งทีและคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้
"ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะแล้วนี่จะทำไงต่อ"
แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่
"เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย
พ่อแม่ไม่สั่งสอนยังเด็กตัวแค่นี้ก็ริจะเป็นขโมยซะแล้วต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ"
ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า
แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้นซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้
แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า"อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอมเด็กมันคงอยากซื้อยาแต่ไม่มีเงินนะเอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะ
กี่บาทกันละ"
ในที่สุดเรื่องก็จบลง
โดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุแล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด
แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่
"ใจดีกับเด็กขี้โขมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ"แม่ไม่ได้ตอบอะไร
แต่พอเดินห่าง
จากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า"ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ"
เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า
"แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ
แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอผมก็เลยต้อง..."
แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง
แล้วบอกว่า
"ทีหลังอย่าขโมยของใครนะถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ
น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ถามคนแถวนี้ก็ได้
รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ
เอ้า...เอาส้มไปฝากคุณแม่ซิคนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ
รู้มั้ย"
แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม
เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป
หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที
"ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนั้นด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ"แม่ยิ้ม
แล้วตอบฉันว่า
"ไม่รู้จักหรอกแต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูกแต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอกแม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง"
แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่"ฉันถามต่อ
แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า
"แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆกับลูกจะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบรู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหนและคนที่มีความรับผิดชอบนะ
จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆเมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น"
ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า"แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีกแม่จะให้เขารึเปล่า"
"ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร"
"แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอบ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่"
"ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนักแต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะมันทำให้แม่มีความสุข
แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ
แค่นี้แม่ก็พอใจแล้วไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก"
แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า"จำไว้นะลูก
คนเรานะต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมออย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ
แม่ถึงช่วยแกเอาไว้"แล้วแม่ก็พูดต่อว่า
ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด
ใช่...แม่ไม่เถียงแต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆ บ้าง
อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทองตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจแต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"หลังจากนั้น
ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆกันต่อฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย
จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น
ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตาว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ
หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดแล้วฉันก็ได้งานทำในโรง
งานแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดนั้นเอง
เงินเดือนก็พอประมาณสามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก
ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้าเพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้างหลังจากทำงานหนักมาเกือบ20ปีเพื่อส่งฉันเรียน
แม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ
น้อยๆของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน
แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่
ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี
แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายเริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆ
ไม่กี่วันก็หายหลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ
ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอแล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมือง
หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก
แค่ทำงานหนักมากเกินไปหมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ
จะได้หายเร็วๆหลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง
อาการปวดหัวของแม่ก็หายไปฉันเริ่มสบายใจขึ้นแต่หลังจากไปหาหมอได้
ประมาณหนึ่งเดือน
แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีกคราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้วยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย
ฉันกังวลใจมาก
พอถามหมอหมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯเพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัดหลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯ
ทันทีไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งหลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่ามีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วนหากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้
หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที
แต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า
ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้นฉันก็ตกลงหลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้วแม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที
ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอก
ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้
หมอบอกให้ทำใจไว้บ้างเพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมากโอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก
แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตามอีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูง
เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายา
ระหว่างพักฟื้นคิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ
ห้าแสนบาทฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ
ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหนลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย
แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หายส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลังหลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง
เป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบผลสำเร็จและไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆทางโรงพยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉันปรากฏว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาทเป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น
ฉันแปลกใจมาก
จึงสอบถามกับนางพยาบาลนางพยาบาลบอกว่าคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณนางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา
แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉันพร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อกลับถึงบ้านฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้นเมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน
เนื้อความในจดหมายมีดังนี้ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร
แพทย์ผู้ผ่าตัด
นางสมพรภู่จันทร์ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้
ค่าผ่าตัด
0 บาท
ค่ายาทั้งหมด
0บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ
0บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด
0บาท
ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้วเมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวดยาธาตุ
ส้มหนึ่งถุง
ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆนะครับคุณน้า
นายแพทย์เดชา
ทองวิจิตร'
หากเป็นเรื่องจริงก็ขอชื่นชมบุคคลในเรื่องทั้งสองฝ่ายด้วยครับ
ความมีน้ำใจ ความรักในเพื่อนมนุษย์ย่อมส่งผลดีเสมอ
ไม่ช้าก็เร็วและได้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีของคนด้วย