ผมขอยืมด้วยได้ไหมครับ
วิจารณ์ พานิช
ด้วยความยินดีและเต็มใจอย่างยิ่งครับ
ได้ร่วมอบรมทั้ง 2 วัน แบบไม่อยากลุกหนีไปไหน สนุกได้สาระ ฮาสลับ จริงๆค่ะ ได้หลัก 3 ข้อจาก อ.ณรงค์ศักดิ์ ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานที่เรารู้ แต่เราลืมใช้บางขณะ ได้แก่
1. ไม่มีใครชอบคำตำหนิ ทุกคนชอบคำชม สรรเสริญ เยินยอ
2. ไม่มีใครชอบให้ใครมาสอน แต่เราอยากเรียนรู้เอง
3. เมื่อเราตัดสินคนอื่นเช่นไร เขาก็จะตัดสินเราเช่นนั้น
เป็นความจริงตลอดกาลจริงๆค่ะ ขอแนะนำว่าท่านที่ไม่ได้เข้ารุ่น 1 อย่าพลาดรุ่น 2 เด็ดขาด หากเราได้เข้าอบรมหลักสูตรนี้ทุกคน เราจะได้มีฐานเดี่ยวกัน พูดเรื่องเดียวกัน เข้าใจกัน และรักกันมากๆ
ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสได้เข้าอบรมทั้ง ๒ วันแบบเต็มเวลาไม่มีสาย ไม่มีหนี ความเห็นในเบื้องต้นหลังการได้ "รับรู้" ข้อมูลจากวิทยากร (อ.ณรงค์)ที่ว่า จิตวิทยา คือความรู้ที่จะจัดการความคิด,ความรู้สึกของเราให้เกิดความสุขแก่ตัวเราและผู้อื่นแล้ว คิดว่าน่าจะเป็นแนวคิดเดียวกันกับการทำ KM ในมวล.ที่ "คุณเอื้อ"ของเราเน้นย้ำไว้เสมอว่าเราจะเริ่มต้นที่ "การจัดการความรู้สึก" ตั้งแต่รู้สึกรักและนับถือตัวเอง,รักองค์กร"รักวลัยลักษณ์",และรักและนับถือผู้อื่น ให้เกิดพลังของความเอื้อเฟื้อ(Care)ซึ่งกันและกันจนบรรลุเป้าประสงค์เกิดความรู้สึกเต็มใจที่จะแบ่งปัน(Share) บรรยากาศแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั่วทั้งองค์กร อันเป็นผลให้เกิดการทำงานที่มีความสุขและก่อให้เกิดผลงานที่มีคุณภาพ (ไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือ?) และได้รับรู้วิธีการจัดการฯไม่ว่าจะเป็นการสร้างความสุขด้วยการปลดปล่อยตัวเองและมีอิสระทางความคิด หรือการกำกับควบคุมตัวเองทั้งความคิด,อารมณ์,ความรู้สึกให้คิด"บวก"ตลอดเวลา ฟังดูง่ายๆเป็นเรื่องธรรมชาติที่เรารู้ๆกันอยู่ แต่สำหรับตัว ดิฉันแล้วคิดว่าเป็นสิ่งที่ต้องฝีกฝน และแสวงหาวิธีเฉพาะตัวอีกมากที่จะจัดการกับตัวเองให้ได้ ใครมีวิธีดีๆช่วยแนะนำด้วยนะคะ
สิ่งที่ดิฉันประทับใจคือวิธีการถ่ายทอดของวิทยากร ไม่ใช้การบรรยายแบบสอนให้รับรู้ตาม แต่ใช้วิธีให้เราทุกคนมีส่วนคิดและช่วยกันหาคำตอบที่ดีที่สุด คิดว่าดีมากเพราะทำให้เราจดจำคำตอบต่างๆได้ด้วยความเข้าใจรู้ที่มา ต่างจากการท่องจำตามที่"ครู"บอกไม่นานก็ลืม น่าจะนำไปใช้ในสถานการณ์อื่นตามความเหมาะสมของ สถานที่,เวลา และบุคคล นอกจากได้ความสุข และสาระแล้วบรรยากาศยังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสลับกับความตื่นเต้นของเราที่ไม่รู้ว่า"ไมค์"จะมาถีงเราตอนไหน?แต่ก็ไม่มีคนหนี
สิ่งที่รับรู้แล้วทำให้แปลกใจคือ ความหมายของคำว่า"ศักยภาพ" ที่ว่าคนเรามีความสามารถเท่ากัน ๑๐๐%แต่เราสามารถใช้จริงในชีวิตเพียง ๑๕% ไม่รู้หายไปไหน๘๕% หากเราสามารถดึงความสามารถของเรามาใช้เพิ่มอีก๑๐%เราก็จะเป็นอัจฉริยะ แท้จริงหายไปกับนิสัยและพฤติกรรมที่เคยชินของเราคือ ๑ การคิดถึงตนเองและผู้อื่นในทางลบ ๒ชอบคิดเอาเอง คิดแทนคนอื่น ๓ชอบโทษ และโยนความผิดให้คนอื่น และ๔คิดและทำด้วยอารมณ์ชั่ววูบ นี่เป็นความจริงหรือ? ถ้าจริงใครช่วยหาวิธีทำให้ความสามารถของเรากลับมาด้วย
เสียดายจังเลยไม่ได้เข้าร่วมรับฟังด้วย นอกจากบันทึกไว้ในแผ่น CD แล้ว มีบันทึกในรูปแบบ VCD บ้างหรือเปล่าค่ะอยากฟังเสียงหัวเราะของบรรยากาศที่ตื่นเต้น สดใส ชนิด "ไมค์"มาไม่รู้ตัว........(จากข้อคิดเห็นของพี่จินตนา ศิริวัฒนโชค)
ขอบคุณมากค่ะพี่ติ๋ม แล้วจะลองติดต่อดู...