แผนที่ความรู้เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการประมวลความรู้ของนักเรียนโรงเรียนเพลินพัฒนา ซึ่งมีแนวคิดเดียวกันกับการทำสมุดประมวลและการทำโครงงานชื่นใจได้เรียนรู้ของช่วงชั้นที่ ๑ – ๓ ที่กำหนดให้สัปดาห์ที่ ๙ และ ๑๐ ของแต่ละภาคเรียน เป็นช่วงเวลาที่นักเรียนจะต้องประมวลความรู้ทั้งด้านเนื้อหาสาระและทักษะออกมาเป็นโครงงานชื่นใจได้เรียนรู้และสมุดประมวลความรู้
แต่เนื่องจากสาระวิชาในช่วงชั้นที่ ๔ มีลักษณะที่ลงลึกในแต่ละศาสตร์รวมทั้งในการเรียนของช่วงชั้นที่ ๔ นั้น จะต้องมีการสอบปลายภาคเพื่อประเมินการเรียนรู้ด้านเนื้อหาสาระอยู่แล้ว ทำให้การประมวลความรู้แบบโครงงานชื่นใจได้เรียนรู้และการทำสมุดประมวลที่นักเรียนในช่วงชั้นที่ ๑-๓ ที่ต้องใช้เวลาในสัปดาห์ที่ ๙ และ ๑๐ ไม่เหมาะสำหรับนักเรียนในชั้น ๑๐ ที่จะต้องมีการเรียนการสอนถึงสัปดาห์ที่ ๙ และมีการสอบปลายภาคในสัปดาห์ที่ ๑๐
ดังนั้นการประมวลความรู้ของช่วงชั้นที่ ๔ จึงจำเป็นต้องมีลักษณะที่กระชับ และจะต้องสามารถประมวลความรู้ได้จริงในเวลาอันสั้น คณะครูจึงได้คิดรูปแบบการประมวลความรู้ของนักเรียนชั้น ๑๐ ออกมาเป็นแผนที่ความรู้ โดยกำหนดให้
ก่อนที่นักเรียนจะได้ประมวลความรู้กันในสัปดาห์ที่ ๙ ซึ่งยังคงมีการเรียนการสอนตามปกตินั้น ในสัปดาห์ที่ ๘ ครูทุกสาระวิชาจะสรุปเนื้อหาสาระและแนวคิดหลักของแต่ละสาระวิชา เพื่อช่วยผู้เรียนในการทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้มา ซึ่งจะตกผลึกกลายเป็นการทำแผนที่ความรู้ในสัปดาห์ที่ ๙
เนื่องจากการประมวลความรู้เป็นสิ่งที่นักเรียนชั้น ๑๐ ที่เป็นนักเรียนเก่าของเพลินพัฒนาคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว หลังจากที่ครูอธิบายถึงส่วนประกอบต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว จึงแบ่งกลุ่มให้นักเรียนใหม่และนักเรียนเก่าอยู่ในกลุ่มเดียวกัน เพื่อให้นักเรียนเก่าช่วยอธิบายถึงวิธีการและแนวคิดของการทำแผนที่ความรู้ที่มีลักษณะคล้ายกับการทำสมุดประมวลฉบับย่อ
นักเรียนลงมือทำแผนที่ความรู้ในวันศุกร์ของสัปดาห์ที่ ๙ โดยแต่ละกลุ่มก็กระจายกันไปทำในที่ต่าง ๆ บางกลุ่มนั่งทำในห้องสมุด บางกลุ่มทำในห้องเรียน บางกลุ่มนั่งทำตรงระบียงซึ่งจะไม่เป็นการรบกวนกันเมื่อมีการปรึกษากันภายในกลุ่ม
และในที่สุด การทำแผนที่ความรู้ที่แผ่นที่ ๑ และ ๒ ก็สำเร็จเสร็จสิ้นลงภายในเช้าวันนั้น นักเรียนเกือบทั้งหมดทำเสร็จเรียบร้อย ส่วนแผ่นที่ ๓ และ ๔ นั้น นักเรียนส่วนใหญ่ใช้เวลาตลอดบ่าย จนกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียนก็ยังไม่เสร็จ มีคนที่ทำเสร็จเพียง ๓-๔ คนเท่านั้น เนื่องจากเป็นส่วนที่ต้องใช้ความคิดและความรู้ส่วนต่าง ๆ มาประกอบกันขึ้น นักเรียนบางคนกล่าวว่า “ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย
สัปดาห์ที่ ๑๐ เมื่อนักเรียนส่งแผนที่มาให้ตรวจ เป็นช่วงเวลาที่ไม่แตกต่างจากครูในช่วงชั้นอื่น ๆ คือ ชื่นใจได้เห็นการเรียนรู้ มีความรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย และทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่นักเรียนชั้น ๑๐ ที่มีอายุอยู่ในช่วง ๑๔ – ๑๕ ปี ผลิตความเข้าใจของเขาขึ้นมาจากกระบวนการเรียนรู้ที่ค่อยๆสั่งสมกันขึ้นมานั่นเอง
ขอบคุณมากครับสำหรับบทความดีๆ ผมกำลังสนใจเรื่องการทำแผนที่ความรู้อยู่พอดีเลยครับ หากมีโอกาสคงได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำแผนที่ความรู้เพิ่มเติมอีกนะครับ..
สวัสดีค่ะคุณเรวัต ดีใจที่ประสบการณ์เล็กๆของโรงเรียนมีประโยชน์ แต่นี่ก็เป็นวิธีการที่ครูทั้งหลายคิดกันขึ้นมาโดยไม่ได้อิงทฤษฎีอะไร :) คิดกันว่าน่าจะเป็นวิธีที่จะเกิดประโยชน์กับผู้เรียน ก็เลยนำมาใช้ แล้วก็ได้ผลค่ะ
ครูใหม่
ป.ล. ตอนนี้โรงเรียนอยากได้คนที่สนใจกระบวนการเรียนรู้ และอยากสร้างให้เด็กเข้าถึงภาษา และภูมิปัญญาไทยมาร่วมงานค่ะ พอมีใครจะแนะนำมาบ้างไหมคะ
ขอบคุณค่ะ :)
ขอบคุณคุณsasinanda ที่แวะเข้ามาเยี่ยมเยียนให้หายคิดถึงค่ะ
ครูใหม่:)
เรียน อ.วิมลศรี ศุษิลวรณ์
ผมขออนุญาตเรียนถามเกี่ยงกับแผนที่ความรู้ครับ
อาจารย์ช่วยแนะนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเขียนแผนที่ความรู้ด้วยครับ
โปรแกรมเหล่านี้ เหมือนกับโปรแกรมที่ใช้เขียนแผนที่ความคิด (Mind mapping) หรือไม่ครับ
ขอบคุณครับ
ถ้าโปรแกรมที่คุณหมายถึงคือโปรแกรมสำเร็จรูป เราไม่ได้ใช้ค่ะ แต่ให้นักเรียนเขียนขึ้นจากความเข้าใจโดยใช้หลักการของ concept map ค่ะ ส่วน mind map เป็นชื่อทางการค้าค่ะ