๑๙...แง่คิดดี ๆ จากชายชราผู้จากไป


"โรคภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย"

                                                                       

     สติ.....คือสิ่งที่เราต้องมีตลอดเวลา

 

                                                        
 
แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป
     
 
 




สัปดาห์สุดท้ายของปี 2548 ผมไปงานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81


ปีที่ผมรู้จักเขามายาวนาน 30 ปี

ไม่ใช่ญาติ แต่สนิทนักรักใคร่เสมือนญาติ

ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยาแบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่าสวด

สามวันแล้วเผา ไม่ต้องบอกใครให้วุ่นวาย อย่าเศร้า อย่าร้องไห้ ทุกคนต้องมีวันนี้
เพียงแต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน

แล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง สวดสามวันเผา

งานสวด 3 คืนมีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คนคือเมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้

และผมซึ่งเป็นคนนอกเป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟัง

สวดวันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน สามคนที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุก

เย็นคนหนึ่ง

เป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย

เลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงินงวดละสองใบคนหนึ่ง

และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น

ทั้งสามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผา

เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล

เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน

หลังฌาปนกิจพระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่าเจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวด

พระอภิธรรมแล้วหรือยัง พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึก

ตั้งแต่สวดคืนแรกจริงๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์

ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ตำแหน่งหัวหน้าหน่วย

แต่ด้วยความที่รักและศรัทธา อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์

อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ จึงดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน

- แม้กระทั่งวันตาย


ผมสนิทกับเขาเพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบ ไม้

เมืองเดิม ที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้

เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้

พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าวก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตา

การมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด 30

ปีทำให้ได้แง่คิดดีๆ มาใช้ในการดำรงชีวิต

วันหนึ่งเขารู้ว่าขโมยยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุดราคา 4 แสนกว่าบาท

เขาปลอบใจผมว่า "ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา

แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา คิดซะว่าได้ทำบุญ

จะได้ไม่ทุกข์"เขามีวิธีคิด "เท่ๆ" แบบผมคิดไม่ได้มากมาย

เป็นต้นว่าสุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา

อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร

คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข

ช่วงปีสุดท้ายของชีวิตเขาต่อสู้กับโรคชรา เบาหวาน หัวใจ ความดัน

เกาต์ และไตทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์โดยไม่ปริปากบ่น

แถมยังสามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์โดยที่ตัวเองต้องหิ้ว

ถุงปัสสาวะไปด้วยตลอดเวลาเนื่องจากไตไม่ทำงาน

ปัสสาวะเองไม่ได้

6 เดือนสุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวันนอนบ้านสี่วันสลับกันไป

เวลาลูกหลานหรือเพื่อนของลูกรวมทั้งผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล

เขามีแรงพูดติดต่อกันไม่เกิน 10 นาที แต่ 10

นาทีที่พูดมีแต่เรื่องสนุกสนานเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไปเยี่ยมไข้

ทุกคนพูดตรงกันว่า "คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม"

พอแขกกลับ ลูกหลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก

เขาตอบว่า "ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก"

เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่

บ่อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว

แต่สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้านเพราะยังคุยไม่จบเรื่องแล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์ !



4เดือนสุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์นจน

กระทั่งเป็นหัวหน้าแผนกแนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรงแล้วค่อยกลับบ้าน

แต่อยู่ได้ 4 วันเขาวิงวอนหมอว่าขอกลับบ้าน

หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปีไม่ยอม เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า

"ขอให้ผมกลับบ้านเถอะ ผมอยากฟังเสียงนกร้อง

คุณหมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร

เพราะพอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน"

หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน

แต่กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง

1 เดือนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด

เคลื่อนไหวได้อย่างเดียวคือกะพริบตา

แต่แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก เวลาลูกเมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า

"ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที"

เขากะพริบตาสองทีทุกครั้ง !

เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหาย

เขายังรับรู้ แต่พูดไม่ได้ นี่กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง


สิบวันก่อนพลัดพราก ภรรยากระซิบข้างหูว่า "พ่อสู้นะ"

เขาไม่กะพริบตาซะแล้วทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า "สู้"

เขาสู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค สู้ชนิดที่หมอออกปากว่า

"คุณลุงแกสู้จริงๆ"

ตอนที่วางดอกไม้จันทน์

ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า

"โรคภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย"



P.s ขอขอบคุณบทความจากคุณ พิษณุ นิลกลัด


http://variety.teenee.com/foodforbrain/5333.html

 

 

 

                                                           สวัสดีครับ

คำสำคัญ (Tags): #สติ#สู้
หมายเลขบันทึก: 161822เขียนเมื่อ 28 มกราคม 2008 10:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 22:30 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

น้ำตาซึม...

บางครั้งแค่ปวดท้องนิดหน่อย เจ็บตาเล็กน้อย ก็บ่นเพียงแค่อยากฟังคำปลอบประโลมจากผู้ฟัง บางครั้งลืมคิดไปว่า เราเจ็บคนเดียวก็พอไม่เห็นต้องแบ่งความเจ็บให้คนอื่นด้วยการบ่นเลย

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ นะคะนายช่าง

---^.^---

สวัสดีครับหนูพิมพ์

                  เหมือนอ้อนแม่ใช่ไหมครับ...อืม !!! แม่คงเจ็บมากกว่าเราเยอะ...

                                                     ขอบคุณครับ

            

หวัดดีครับ  นายช่างใหญ่

  • สาระดีๆมีประโยชน์ อ่านแล้วพอยับยั้งช่างใจได้บ้าง  อยู่ที่การควบคุม
  • ใจเป็นผู้กำหนด ทุกเรื่อง
  • ขอบคุณมากครับ

สวัสดีครับคุณเกษตรยะลา

                ผ่านไปอ่านเจอ...เลยเอามาฝากชาว G2K ครับ...

                                               ขอบคุณครับ

สวัสดีค่ะ แวะมาทักทายค่ะ วันนี่ที่เชียงหม่ หมอกลง อากาศกำลังเย็น น่ามาเที่ยวนะค่ะ

สวัสดีครับครูเอ

               ถ้ามีแค่หมอก...อากาศเย็น...กรุงเทพก็มีเยอะ...ขับรถไปทำงานต้องฝ่าหมอกทุกวัน...อิอิ...แต่บรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่เชียงใหม่ดีกว่าเยอะ...น่าเที่ยวกว่ากรุงเทพเยอะ...ไม่ได้ไปมานานสิบปีพอดีครับ...

              ขอบคุณครับแล้วจะหาโอกาสไปอาจเป็นช่วงสงกรานต์นี้ครับ

                                                  ขอบคุณมากมากครับ

สวัสดีครับ แวะมาทักทายครับ แต่เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้วหลายครั้งคนเราก็จบอยู่แต่ความเจ็บ จนลืมไปว่าความสุขนั้นสำคัญมากกว่า

สวัสดีครับคุณsorana

                แต่ละคนก็มีมุมมองที่เป็นของตนเองครับ

                                                     ขอบคุณครับ

  • งานศพนี่แหละ....ที่ทำให้เราเห็น...สัจธรรม..ชีวิต
  • เห็นมิตรแท้....เห็นความดี......เห็นน้ำใจ......เห็นแก่นแท้..ของคน
  • ผมเพิ่งผ่านงาน....นี้มาเมื่อ....๑๗ มกราคม ๒๕๕๑ นี่เองครับที่ครอบครัวลูกศิษย์ผม...น้องจิ

สวัสดีครับอาจารย์พิศูจน์

              ก็พยายามไปงานศพคนที่รู้จักครับ...หรือพ่อแม่ของเพื่อน...ถึงแม้บ้านผมจะอยู่ไกลถึงปัตตานี...แต่เมื่อพอถึงคราวญาติเราก็เกรงใจเขาครับไม่กล้าบอกใครมาก...ไกลจังแต่มีคนที่สนิทจริง ๆ นั่งเครื่องบินไปครับ...ต้องขอบพระคุณเขาอย่างมาก

                                                  ขอบคุณครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท