วันก่อนก็เลือกประธานสภาฯ เรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งอีกสองสามวันก็จะมีการเลือกนายกฯ และก่อนที่จะเลือกเฟ้นผู้ที่จะมาำดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไป... ผู้ที่ได้ยศตำแหน่งหรือได้เป็นใหญ่เป็นโตย่อมสร้างความปลื้มให้แก่ตนเองและพวกพ้อง ส่วนบรรดาผู้ที่ไม่ได้ยศตำแหน่งในคราวครั้งนี้ก็คงต้องรอต่อไป....
มหัตตสูตร แปลว่า พระสูตรว่าด้วยความเป็นใหญ่ (พระสูตรว่าด้วยความเป็นผู้มาก) ซึ่งผู้ที่ได้รับยศตำแหน่งครั้งนี้ ก็อาจดำรงอยู่ในคุณธรรมตามพระสูตรนี้ ดังนั้น จึงนำมาเล่าเทียบเคียง... โดยพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ผู้จะถึงความเป็นใหญ่ได้นั้น จะต้องประกอบด้วยคุณธรรม ๖ ประการ กล่าวคือ
ผู้ที่ยังไม่ได้ยศตำแหน่งในครั้งนี้ แสดงว่า คุณธรรมเหล่านี้ยังไม่เพียงพอต่อผลสำเร็จ เช่น บางคนเข้าพรรคเข้าพวกผิด หรืออ่านเกมส์ไม่ขาด ก็น่าจะเป็นการบกพร่องข้อ 1...ไม่ขยันในการหาเสียงหาพวกเท่าทีควร ก็น่าจะบกพร่องข้อ 2 ... มัวแต่อิจฉาริษยา ด่าทอผู้อื่น ซึ่งเป็นเหตุให้จิตใจขุ่นมัว ไม่ร่าเริงยินดี ก็อาจตรงกับข้อ 3 ... เป็นผู้มักน้อยยินดีตามมีตามได้ก็อาจตรงกับข้อ 4 ... ไว้วางใจผู้อื่น ทอดทิ้งธุระ ไม่รู้จักวิ่งเต้นเท่าที่ควร ก็เข้ากับข้อ 5 ... และไม่ได้พยายามให้ยิ่งๆ ขึ้นกว่าครั้งก่อนๆ ก็น่าจะเป็นข้อ 6....
ส่วนผู้ที่ได้ตำแหน่งนั้น บางคนอย่าไปว่าเขาเลย เพราะเขาพยายามมานานแล้ว พยายามยิ่งขึ้นๆ เพื่อให้ได้เป็นใหญ่ (ตามข้อ 6)... ครั้งนี้ประสบความสำเร็จได้เป็นใหญ่สมดังใจ ก็เพราะความพยายามที่ยิ่งขึ้นๆ เพราะความไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ เพราะความไม่ยอมเลิกหวังในการที่จะเป็นใหญ่เป็นโต หรือเพราะความคิดชั่งใจในการค้นหาหนทาง วิธีการ เพื่อให้ได้เป็นใหญ่ นี้เอง....
ผู้เขียนนำเอาเล่าเชิงเปรียบเทียบเล่น ซึ่งอาจพอสงเคราะห์กับเรื่องนี้ได้
...........
แต่... ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุนั้น แม้จะตรัสเรื่องความเป็นใหญ่เหมือนกัน พระพุทธองค์มิได้ทรงมุ่งหมายตามนัยนี้ ทรงมุ่งหมายเฉพาะ ความเป็นใหญ่ในธรรม เท่านั้น...
นมัสการพระอาจารย์ครับ
ความเป็นใหญ่ในธรรม ก็คือความมีธรรมชั้นสูงขึ้น เช่น พระโสดาบัน ถือว่ายังไม่ใหญ่ เมื่อเทียบกับพระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์... ตามนัยนี้ ผู้บรรลุธรรมชั้นสูงกว่า ก็ถือว่า ผู้เป็นใหญ่
ดังนั้น พระโสดาบัน จึงถือว่า ยังไม่ใหญ่ ... และถ้าขาดคุณธรรม ๖ ประการเหล่านี้ ก็ไม่สามารถจะบรรลุธรรมชั้นสูงขึ้นได้ นั่นคือ ยังไม่สามารถเป็นใหญ่ได้... ทำนองนี้
เช่นข้อ 4 ความไม่สันโดษ (ควาไม่ยินดี) จัดเป็นคุณธรรมของผู้ต้องการเป็นใหญ่... สำหรับพระโสดาบัน จะต้องไม่ยินดีในธรรมชั้นโสดาบัน จะต้องพัฒนาตนเองขึ้นไปอีกเพื่อการบรรลุธรรมชั้นสูงขึ้น... ดังนั้น ความไม่สันโดษ จึงจัดเป็นคุณธรรมสำหรับผู้ต้องการเป็นใหญ่ หรือในทางกลับกัน ถ้ายึดถือความสันโดษแล้วก็ไม่สามารถเป็นใหญ่ได้....
แต่ ความไม่สันโดษ ตามนัยนี้ พระพุทธเจ้าทรงประสงค์เอา การไม่สันโดษในการเจริญกุศล ละอกุศล เท่านั้น... มิได้มุ่งหมายความไม่สันโดษประการอื่น...
.........
แม้พระสูตรนี้ พระพุทธเจ้าทรงประสงค์เอาเฉพาะ ความเป็นใหญ่ในธรรม เท่านั้น ... แต่สามารถนำไปอธิบาย ความเป็นใหญ่ในทางคดีโลก ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น ในบันทึกนี้ จึงนำความเป็นใหญ่ในทางการเมือง มาเป็นตัวอย่าง....
ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม ท่านอาจารย์เจ้าคุณประยุทธ์ ก็นำมาอธิบายไว้ด้วยเล็กน้อย โดยให้ชื่อว่า เวปุลลธรรม ดู
เจริญพร
มาอ่านธรรมะแล้วกราบพระก่อนนอนครับ
กราบ ๓ หน
วันที่เขามา...เป็นวันที่ผมหทดวาระไปโดยปริยายครับพระอาจารย์...
รัฐบาลเฉพาะกาล...เพียงเพื่อให้คนที่..ไม่อยากเป็นใหญ่...ในทางการเมืองเข้าไปเรียนรู้และปฏิบัติภาระกิจให้เกิดบทเรียนแบบหนึ่งของสังคม...
ความอยากที่แตกต่างกัน...สะท้อนภาพให้เห็นชัดว่า...สังคมปุถุชนของไทย...ยอมรับผู้ที่แสวงหาอำนาจพร้อมกับผลประโยชน์ส่วนตัวได้...มากกว่าคุณธรรมสัตย์ซื่อ.. ขอเพียงแบ่งปันผลประโยชน์ให้ประชาชนบ้าง มากน้อยแล้วแต่จะกรุณา...
วิถีการเมือง...วิถีไทย...ไหนเลยจะเปลี่ยนให้เห็นในช่วงอายุเราได้ครับ...พระอาจารย์...
ก็เพราะ...มันเป็นเช่นนั้นเอง...
กราบ 3 ครั้ง