วันนี้เรามาคุยเรื่องเบา ๆ กันดีกว่า อย่างที่หลาย ๆ ท่านทราบ (ไม่ทราบก็ไม่เป็นไรค่ะ) ว่า พวกเราทีมวิจัยระยะยาวในเด็กไทย ประมาณ ๑๐๐ ชีวิต ได้เข้าอบรมเพื่อค้นหาลักษณ์ของตัวเองกันทุกคน บางคนก็ได้เข้าอบรมขั้นกลางแล้ว และหลาย ๆ ครั้งที่ได้มีโอกาสพูดคุยกันทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ พวกเราก็อดแซวกันเองไม่ได้โดยเฉพาะเวลาแต่ละคนแสดงลักษณ์ของตัวเองออกมาปะทะกับคนอื่น ๆ ก็อดจะขบขันกันไม่ได้
เอาล่ะ บางคนก็อาจไม่ขำเท่าไรเพราะรู้สึกเสียหน้า (นิดหน่อย) ที่ถูกแซว แต่บางคนก็ได้ฉุกคิดมากขึ้น และเล็งเห็นกลไกการทำงานภายในระบบคิด และ แรงจูงใจ กับ ความซับซ้อนของบุคลิกภาพ ซึ่งถ้าเราไม่มีสติล่ะก็ มันก็อดจะเผลอแสดงตัวตนออกมาไม่ได้ จะต้องขออนุญาตพรรคพวกเล่าตัวอย่างให้พวกเราลองมาอ่านกันเล่น อย่าถือสากันเลยนะคะ ถือว่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนฝูงที่สนใจนพลักษณ์ในวงกว้างก็แล้วกันนะคะ
เหตุการณ์ที่ ๑ ในที่ประชุมโครงการฯ มีลักษณ์ ๘ อยู่หลายคน ประธานที่ประชุมก็เป็นลักษณ์ ๘ ด้วย แม้ท่าทีของประธานจะอ่อนโยนลงบ้างแล้ว แต่บางทีเจ้าก็ประทับทรงเหมือนกัน เมื่อเห็นท่าทีของลักษณ์ ๘ หลายคนชักจะแข็งกร้าวไปหน่อย ไม่ค่อยฟังกันเลย ต่างคนต่างใช้พลัง จนคนลักษณ์อื่นขยาดถอยหลังไปตาม ๆ กัน ก็เลยต้องใช้พลังที่เหนือกว่าหยุดสถานการณ์ จนบางทีก็เลยเถิดไปบ้าง ก็เลยถูกแซวว่า องค์ไหนประทับ??? ประธานชักจะรู้ตัว ก็เลยสงบลง ทุกคนในที่ประชุมก็เลยหัวเราะขบขันกันบ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะลักษณ์ ๘ ด้วยกัน แต่ลักษณ์อื่นเขาไม่ค่อยกล้าหรอกนะ กลัวลักษณ์ ๘ กัดเอาน่ะ
เหตุการณ์ที่ ๒
ความซับซ้อนในการประสานงานระหว่างคนต่างลักษณ์ก็เป็นประสบการณ์ที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง
ขอยกตัวอย่าง หัวหน้าหน่วยหนึ่งของเรามีหน้าที่ต้องดูแลจัดการบริหารทีม เป็นลักษณ์ ๓ ที่เอาการเอางาน แต่ถูกผลักดันด้วย “ความสำเร็จ” และ “ภาพลักษณ์” มาก จนหลายครั้ง คนอื่นก็ประสานงานด้วยยาก โดยเฉพาะหากเขารู้สึกว่า การกระทำของคนอื่นจะกระทบต่อภาพลักษณ์ “ความสำเร็จ และ ประสิทธิภาพ” ของเขา จนหลายครั้งกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งที่สามารถทำความเข้าใจกันได้ไม่ยากนัก โดยเฉพาะความบกพร่องในการสื่อสารระหว่างกันและกัน คำพูดบางคำที่แต่ละคนตีความไปตามความเข้าใจและโลกทัศน์ของตนเอง ก่อให้เกิดปัญหาที่บางทีก็บานปลายสะสางลำบาก
ถ้าวิเคราะห์กันให้ลึกก็คือ ทุกคนต่างเพ่งโทษคนอื่น โดยลืมมองไปว่า เราแต่ละคนก็เป็นส่วนที่ทำให้เกิดปัญหา หากเรากลับมาเพ่งที่ตัวเอง มีสติกับตัวเอง และถอยหลังมาเป็นผู้สังเกต แทนการเป็นผู้แสดง ก็จะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างปราศจากอคติ และคงมองเห็นว่า เหตุการณ์ความเข้าใจผิดเกิดขึ้นจากการปะทะกันระหว่างกิเลสของลักษณ์แต่ละคนนั่นเอง
เหตุการณ์ที่ ๓
วิธีการและรูปแบบการเป็นผู้นำของคนแต่ละลักษณ์ก็น่าศึกษาเช่นกัน
ผู้นำที่เป็นลักษณ์ ๑ ในทีมของเรา ลงรายละเอียด และ คำนึงถึงความสมบูรณ์ของงานที่ออกมาแต่ละชิ้น จนทำให้การทำงานที่มีกรอบเวลาจำกัดล่าช้า หรือบางทีเพราะทำงานไม่ทัน จำเป็นต้องเร่งรีบ งานก็ออกมาไม่เนี้ยบ เลยเกิดความเครียด ทำให้ไม่สบาย มีผลกระทบไปถึงงานอื่น ๆ ที่รับผิดชอบอยู่
หัวหน้างานอีกคนก็เป็นลักษณ์ ๑ เหมือนกัน เคร่งเครียดกับเรื่องระเบียบ ต้องเนี้ยบ อะลุ้มอะล่วย ยาก ก็เลยติดนิสัยบ่นเพื่อน ๆ อยู่บ่อย ๆ จนเกิดความรำคาญ ท่าทีที่เป็นมิตรต่อกัน ก็หละหลวม บางทีก็ปะทะคารมกันอยู่บ่อย ๆ ก่อให้เกิดความเครียดในการทำงาน ทำงานไม่สนุก
เหตุการณ์ที่ ๔
เจ้าหน้าที่ลักษณ์ ๒ ของเรามีงานมากหลายอย่าง ขณะเดียวกันงานแต่ละอย่างก็มีกรอบเวลาจำกัด ด้วยความถือตัวและยากที่จะออกปากขอให้ใครช่วย ก็มีผลให้งานที่ต้องเสร็จ ตามกำหนดไม่สามารถบรรลุได้ เกิดผลเสียหายต่องานส่วนอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน ขณะเดียวกันเพื่อนร่วมงานก็สงสัยว่า ทำไมทำงานไม่ทันก็ไม่บอก ชอบรวบงานไว้เองคนเดียวหรืออย่างไร
แต่ถ้าเพื่อนลักษณ์อื่น จะเข้าใจกิเลสของคนลักษณ์ 2 ก็จะทราบว่า เขาไม่ได้อยากรวบงานไว้หรอก ที่แท้มันก็เป็นการปรากฏตัวของกิเลสประจำลักษณ์ ถ้ารู้เสีย ก็เข้าไปอาสาช่วย หรือ ไปขอแบ่งงานมาทำ ปัญหาก็คงไม่เกิด หรือ เกิดน้อยลง ตัวอย่างนี้ ชี้ให้ชัดเจนถึงอิทธิพลของกิเลสประจำลักษณ์ที่มีผลต่อวิธีทำงานของเราแต่ละคนจริง ๆ
เหตุการณ์ที่ ๕
หันมาพูดกันถึงสมาชิกที่เป็นศูนย์หัวของเราบ้าง หัวหน้างานหลายคนของเราเป็นคนลักษณ์ ๗ ซึ่งมีความคิดสร้างสรรค์ เป็นเจ้าโปรเจ็ค ชอบคิดวางแผนให้คนอื่นทำ ขณะเดียวกัน ก็จะไม่ลงมาดูรายละเอียดในงานส่วนต่างๆ
สมาชิกในที่ทำงานแห่งนั้นเกิดปัญหามาก เพราะรู้สึกว่างานมากเหลือเกิน ทำไม่ทัน และ หัวหน้าทำ ๆ แป๊บเดียว ก็เลิกละ ไปทำอย่างอื่น งานที่เคยขึ้นต้นไว้ก็ยังไม่ไปไหนเลย มาเริ่มงานใหม่แล้ว ลูกน้องอ่วมอรทัยกันไปตาม ๆ กัน และเพราะงานมาก ความเครียดก็มาก คนในที่ทำงานก็เลยเกิดทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่เนือง ๆ กลายเป็นว่าเธอเป็นคนสนิทของนาย ฉันไม่ใช่ ทำให้งานที่เริ่มต้นไว้ดี ๆ แล้วก็เลยต้องหยุดชะงัก หรือ บางทีก็เกิดปัญหาระหว่างคนทำงานใหญ่โต
เห็นไหมคะว่า กิเลสของลักษณ์เรามันมีผลรุนแรงขนาดไหน นอกจากมันจะทำความเดือดเนื้อร้อนใจให้เราทุกคนอยู่ตลอดเวลา (ซึ่งเราถูกมันหลอกว่า มันทำให้เรามีความสุข) มันยังทำความเดือดร้อนให้คนรอบ ๆ ข้างเราแต่ละคนด้วยล่ะ
หากสนใจอ่านบทความของหมอจันทร์เพ็ญ ติดตามอ่านได้ในเว็บไซด์ของสมาคมนพลักษณ์ไทย ค่ะ www.enneagramthailand.com
หรือในส่วนเมนูบทความของคุณหมอเลยที่ http://newsite.enneagramthailand.com/jan-nopl.html