Proceedings มหกรรมจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ ๒ (๓๑)_๑
ห้องเรียน KM (4)
ประเด็นการนำเสนอ:
การสังเคราะห์เรื่องเล่าที่เป็นแก่นความรู้ (๑)
ผู้ดำเนินรายการ :
ดร.ปฐมพงศ์ ศุภเลิศ
วัน/เวลา
วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2548 เวลา 13.30 -16.45 น.
ดร. ปฐมพงษ์
ศุภเลิศ:
ในช่วงภาคบ่ายเป็นช่วงที่ตกผลึกขุมความรู้
เป็นช่วงที่อยากจะได้รับการสะท้อนความคิดเห็นจากท่าน
ในฐานะที่ท่านฟังมาตลอด ความคิดที่ท่านเสนอจะมีสองแนวทาง
แนวทางที่หนึ่งเสนอผ่านเวทีโดยการพูด
ท่านอาจจะใช้ไมค์พูดหรืออีกนัยหนึ่งคือท่านเขียนที่กระดาษ
ซึ่งเจ้าหน้าที่นำกระดาษไปให้ท่านเขียนเป็นถ้อยคำนำเสนอ
รบกวนท่านช่วยจดในประเด็นที่ท่านคิดว่าเราจะสกัดความรู้
ต้องชม note taker ได้รวบรวมเรื่องราวต่างๆ
เรื่องเล่าที่ทรงพลังไว้หมดแล้ว เพื่อที่จะได้นำเสนอ
แต่ก่อนที่จะนำเสนอโดยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสามท่าน
ขอให้ท่านที่นั่งอยู่ในห้องนี้ช่วยร่วมสะท้อนความคิดด้วย
แล้วเราจะได้ภาพรวมของการจัดตลาดนัดความรู้อย่างสมบูรณ์แบบ
ท่านผู้ใดจะกรุณาเริ่มก่อน ขอให้ท่านแนะนำตัวว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน
เพื่อจะได้เป็นเครือข่ายขอความ รู้และขอคำแนะนำจากท่าน
เมื่อเช้านี้มีโอกาสพูดคุยกับนักการศึกษาท่านหนึ่งคือ รศ.ภาวิณี ศรีสุขวัฒนานันท์
ท่านเขียนหนังสือไว้เล่มหนึ่ง เหตุเกิดในห้องเรียน
หนังสือนี้จะมีสาระการจัดการความรู้ที่น่าสนใจ
ท่านใดอยากจะได้ไปอ่านก็ขอติดต่อรับได้ที่ท่านอาจารย์
ท่านอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อย่างไรก็แล้วแต่ต้องการให้ช่วงบ่ายนี้เป็นกันเอง
ขอเรียนเชิญท่านที่เป็นคุณกิจตัวจริงทั้งสิบท่านมาร่วมวง
ท่านอาจช่วยเสริมการสรุปในวันนี้ในประเด็นของท่านที่ยังไม่ครอบคลุม
ตามกำหนดเวลาจากนี้ไป จะเป็นช่วงสกัดขุมความรู้
ซึ่งจะได้จากเรื่องเล่า ผมได้ปรึกษากับทาง สคส.แล้ว
จะมีการสรุปขุมความรู้
จากนั้นอยากจะได้จากท่านโดยการเขียนเพื่อจะได้สรุป หลังจากนั้นเวลา
14.00 น. - 14.30 น. ซึ่งตรงนี้ผู้ทรงคุณวุฒิจะสรุปอีกครั้งหนึ่ง
จากนั้นจะเป็นเรื่องของการสรุปขุมความรู้ ท้ายสุด
จะเป็นการแลกเปลี่ยนที่เราเรียกว่า After Action Review
หรือที่เรียกว่า AAR จะพยายามให้ทุกท่านที่อยู่ใน floor ได้สะท้อน
ให้ท่านเขียนแล้วจะมีการสุ่มมาอ่าน
แล้วจะเป็นการสรุปอีกครั้งหนึ่งโดยผู้ทรงคุณวุฒิ
จะปิดตลาดนัดความรู้เวลา 16.30 น.
สมาชิกที่เข้ามาที่หลังอาจไม่ทราบว่าในภาคบ่ายนี้ท่านมีส่วนร่วมอะไรบ้าง
อยากจะฟังจากท่านและได้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์
เรามีผู้รู้ทั้งสถานศึกษาและนักวิชาการรวมไปถึงคุณหมอและพยาบาลที่นั่งอยู่ในวงนี้
เมื่อเช้านี้เข็มขัดเราสั้น คาดไม่ถึงว่าคุณหมอชาตรี ท่านมีมุข
มีสิ่งที่เป็นความรู้ที่ท่านจะสามารถสรุปได้ชัดเจนและเป็นประเด็นที่คมชัดลึก
ขอเรียนเชิญครับ
นายสุรพงศ์
ชัยวงศ์: ผู้ร่วมประชุม
เรียนวิทยากรและท่านผู้เข้าร่วมสัมมนาผู้ทรงเกียรติที่เคารพ
ผมนายสุรพงศ์ ชัยวงศ์ ครู กศน. จากจังหวัดแม่ฮ่องสอน
ไม่แน่ใจว่าจะพูดเรื่อง KM ได้หรือเปล่า ห้องนี้จะเป็น theme
ห้องเรียน กศน. มีห้องเรียนที่ขอแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ห้องเรียนของเราเป็นห้องเรียนที่ค่อนข้างใหญ่มากกว่าห้องเรียนที่นำเสนอ
10 เท่าของท่าน มีคนเรียน 161 คน อาทิตย์ที่แล้วถ้าใครได้ดูช่อง 7
สี ท่านจะเห็นกะเหรี่ยงคอยาว
ถ้าไปหมู่บ้านที่พูดถึงคือหมู่บ้านห้วยกูแกง
มีคนพูดไทยได้ 20 คน นอกจากนั้นก็พูดไทยไม่ได้ คนจบ
ป.4 มี 2 คน
นี่เป็นสภาพของพี่น้องกะเหรี่ยงคอยาวที่ได้นำเสนอ
ทำอย่างไรก็ไม่อยากเรียนหนังสือ ทำอย่างไรก็ไม่สนใจ
สิ่งที่เป็นภูมิหลังกะเหรี่ยงคอยาวหนีอพยพจากพม่าประมาณ 25 ปี
เราถูกจัดตั้งว่าใครไปแม่ฮ่องสอนก็ล่องเรือดูกะเหรี่ยงคอยาว
อย่างดีจ่ายเงินให้ 5 บาท 10 บาท แล้วทิ้งภาพที่หลงเหลือไว้
แล้วพี่น้องกะเหรี่ยงคอยาวที่เป็นอยู่
สิ่งที่เราคิดว่าทำอย่างไรที่ห้องเรียนจะเกิดกระบวนการเรียนรู้ได้ดีขึ้น
เอามาเรียนคงไม่เรียน พูดไทยก็ไม่ได้ เอามาเรียนก็ไม่ได้
กระบวนการคือชวนมาเปิดเวทีว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เขาจะคอยรับเงิน
ข้าวจากเอกชน เขาจะคอยรับเงินจากเอกชน ดีดซึงให้ดู แล้วยิ้ม
ยิ้ม เดือนหนึ่งมีรายได้ไม่เกินหนึ่งพันบาท
เกิดการพูดคุยยังไม่ตัดสินใจ
แล้วพาทีมงานของกะเหรี่ยงคอยาวไปนอกบ้าน
ดูบ้านอื่นที่เขาทำว่าทำอย่างไร
ไปดูที่อำเภอเมืองทำอย่างไร ที่ขุนยวม ทำอย่างไร
พี่น้องชาวละว้า ที่แม่ลาน้อยทำอย่างไร ในใจของครู กศน.
คือทำอะไรไม่ได้ ขายได้อย่างเดียวคือความสวยงามของภูมิศาสตร์
ตั้งความหวังไว้ว่าอยากให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว
ผลสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจด้วยตัวของเขาเองว่า
ทำเป็นท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
องค์ประกอบของแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เป็นอย่างไรบ้าง
ทีมงานพี่น้องกะเหรี่ยงคอยาวก็กำหนดเอง ว่าต้องมีบ้านให้คนพัก
ต้องมีอาหารให้กิน คนมาต้องปลอดภัย คนมาต้องสวยงาม
คนมาต้องถ่ายรูป เขาอยากดูการแสดงวัฒนธรรม
เขาก็ตั้งองค์กรขึ้นมา แล้วจัดผู้รู้สอนคนที่ไม่รู้
สอนเรื่องการฟ้อนรำของกะเหรี่ยงคอยาว สอนเรื่องหัตถกรรม หัตถศิลป์
ในขณะนี้ถ้าดูว่าสวยงามคงไม่สวยงาม แต่เป็นภาพที่น่าพึงพอใจว่า ในระยะเดินทางมา 1 ปีเศษ พี่น้องชาวกะเหรี่ยงคอยาวห้วยภูแกง ได้จัดห้องเรียนที่เป็นห้องเรียนใหญ่ ได้จัดตั้งองค์กร มีการจัดระบบรักษาความสะอาด จัดระบบทำ camping ground จัดระบบ home stay จัดระบบการทำทัวร์ธรรมชาติ เขาทำกิจกรรมเป็นไกด์ของชุมชนโดยเขาทำของเขาเอง บทบาทของครู กศน. เราคงเป็นคุณเอื้อ ให้เขาจัดการเรียนรู้ได้อย่างไรในชุมชน และเราอยากให้ชุมชนที่มีการพัฒนาด้วยตนเอง เสียดายว่าไม่มีภาพพี่น้องห้วยภูแกงให้ดู ถ้ากลับไปดูช่อง 7 คงจะเห็นขอบคุณครับ
ดร. ปฐมพงษ์ ศุภเลิศ
:
ขอบคุณอาจารย์สุรพงศ์
ที่นำเรื่องกรณีการจัดการความรู้กะเหรี่ยงคอยาวซึ่งเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่า
ท่านเองได้พยายามสรุปเพื่อนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในครั้งนี้
case ของแต่ละจังหวัดที่มีความหลายหลายและน่าสนใจ
ในประเด็นต่อไปนี้ท่านอาจมีส่วนร่วม
เราอยากจะได้แง่คิดหรือมุมมองเพิ่มเติม
โดยเฉพาะการสร้างการเรียนรู้:บทบาทใหม่ของครูมืออาชีพ ระหว่างรอ note
taker ของทางฝ่ายคุณลิขิตที่จะนำเสนอ มีท่านใดจะกรุณาอีก 1
ท่านได้หรือไม่ ขอเรียนเชิญครับ
รศ. ดร. บุปผา
อนันต์สุชาติกุล : ผู้ร่วมประชุม
ดิฉันมาจากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เท่าที่ฟังมาเมื่อเช้า
รู้สึกว่าชื่นใจที่ครูปฏิรูปตนเอง ครูส่วนใหญ่ที่พูดมาทั้งหมดก็ดี
แต่การศึกษาส่วนใหญ่ปฏิรูปครั้งนี้มาจากแรงผลักดันเท่านั้น
น่าสนใจในเรื่องของการปฏิรูปทั้งโรงเรียน ท่านเจอบทบาทของคุณเอื้อ
และคุณอำนวยอย่างไรบ้าง มีโรงเรียนเจออุปสรรคปัญหาขัดขวางหรือไม่
และท่านหาทางออกอย่างไร
ดร. ปฐมพงษ์ ศุภเลิศ
: ผู้ดำเนินรายการ
ขอบคุณท่านครับ คิดว่าท่านใดจะกรุณาตอบบ้างครับ
เรียนเชิญท่านอาจารย์ทองดี
อาจารย์ทองดี
แย้มสรวล :
ตั้งแต่มีการปฏิรูปการศึกษาตาม พ.ร.บ. 2542
คิดว่าครูเองก็พยายามเคลื่อนไหว จากประสบการณ์ที่มี
ยอมรับว่ามันเป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะที่ครูมีความตั้งใจสูง พูดง่ายๆ
ว่ายังทำกันไม่เป็น
การปฏิรูปตรงนี้เข้ามาค่อนข้างช้าในความคิดของครูทั่วไป
หัวใจของการปฏิรูปการศึกษา อยู่ที่การปรับเปลี่ยนเรียนรู้ของผู้เรียน
เพราะฉะนั้นวัฒนธรรมเดิมๆ ที่ผ่านมาเป็นการบอก
โอนถ่ายความรู้จากตัวเอง พูดง่ายๆ
ครูเป็นศูนย์กลางแห่งความเรียนรู้ซึ่งพอเรามาปฏิรูปแล้วมันไม่ใช่
เราอยากเห็นว่าครูเป็นผู้อำนวยการให้เด็กเกิดการกระบวนการเรียนรู้
แสวงหาความรู้ด้วยตัวของเขาเอง ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ครูไม่คุ้นเคย
และเมื่อไม่คุ้นเคยครูก็ต้องเกิดการเรียนรู้
การทำงานก็คงยังไม่เต็มระบบ ขออนุญาตเล่าประสบการณ์ตัวเอง
ซึ่งตัวผมไม่ใช่ทำตั้งแต่ปี 2542 แต่ทำมานานแล้ว
ลองใช้กระบวนการเรียนรู้กับเด็ก จัดกิจกรรมต่างๆ มากมาย
เพื่อให้เด็กเขาหาการเรียนรู้ของตัวเอง ด้วยปัจจัยหลายๆ
อย่างที่เข้ามาเกี่ยวข้องในส่วนของการจัดการศึกษา
ขอยกตัวอย่างที่คิดว่าเป็นปัญหาที่ผู้เล่าจะบอกซ้ำซากก็คือ
ภาระของครูมีมาก มีการทำงานหลายอย่าง เช่น งานตามนโยบาย งานตามกระแส
งานท้องถิ่น ซึ่งมารุมเร้าครู
ทำให้ไม่สามารถพัฒนาคุณภาพตามเจตนารมณ์ที่อยากจะสร้างได้
เพราะต้องสูญเสียเวลาไปหลายๆ เรื่อง ซึ่งจุดนี้ยังมีปัญหาอยู่
ทุกวันนี้ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
ในที่นี้พูดกันเยอะ คือการบูรณาการ
การบูรณาการเป็นเป้าหมายตัวหนึ่งของหลักสูตรที่เราอยากเห็น
บูรณาการแบบลักษณะข้ามกลุ่มสาระ
แต่บางครั้งเราเองก็ไม่ได้ตีโจทย์ตรงนั้นแตก ว่าบูรณาการทำอย่างไร
บูรณาการแบบหลักสูตรเป็นอย่างไร บูรณาการแบบโครง/หัวเรื่องเป็นอย่างไร
ซึ่งประเด็นนี้ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนกันเยอะ
แล้วก็ตอนทำก็ยังไม่เป็นระบบ
บางทีในเรื่องของนโยบายตั้งแต่ระดับประเทศลงไปสู่เขตพื้นที่การศึกษาจนถึงในระดับของโรงเรียน
ในลักษณะของวิสัยทัศน์ ตัวสรุปตัวละแบบกัน
โดยเฉพาะตัวครูค่อนข้างที่จะสับสน ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมากมาย
การแก้ไขยอมรับว่าแนวทางการแก้ไขนั้น
ผมมีโอกาสนั่งอยู่ในองค์กรเครือข่าย เราเรียกว่าระบบเครือข่ายครู
เป็นเครือข่ายครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้
สร้างเครือข่ายครูมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
แล้วครูที่เป็นผู้นำของกลุ่มก็ไม่ได้หมายความว่าดีหรือรู้ทุกเรื่อง
ต้องยอมรับในความสามารถของครูแต่ละคน
แล้วนำตรงนี้ไปถ่ายทอดเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน
แล้วนำไปปรับปรุงให้เหมาะสมกับโรงเรียนของแต่ละคน
ดร. ปฐมพงษ์
ศุภเลิศ :
อาจารย์ได้กรุณาตอบในส่วนที่เป็นภาครัฐ ลองฟังภาคเอกชนบ้าง
โรงเรียนเพลินพัฒนา
อาจารย์วิมลศิริ
ศุษิลวรณ์:
ดิฉันมาจากโรงเรียนเพลินพัฒนา
ในฐานะที่เป็นโรงเรียนเอกชนและก็ก่อตั้งขึ้นมาภายหลังกลุ่มปฏิรูป
ปีนี้เป็นปีที่ 3 ที่เริ่มดำเนินการ
ดังนั้นจึงมีโอกาสได้ศึกษาแนวนโยบาย
การทำให้โรงเรียนเป็นกระบวนการเรียนรู้ตั้งแรกตั้ง
เริ่มตั้งแต่ปรัชญาคือว่าโรงเรียนเพลินพัฒนา
เป็นโรงเรียนแห่งการเรียนรู้ผ่านกระบวนการวัฒนธรรม
ตัวนี้จะนำไปสู่วิสัยทัศน์และแนวทางการปฏิบัติอยู่หลายประการที่ผู้บริหารได้วางไว้ตั้งแต่ต้นว่าการเรียนการสอน
คือกระบวนการเรียนรู้ การทำงานบุคลากรก็เป็นการเรียนรู้
วิถีในโรงเรียนก็ต้องเป็นการเรียนรู้ในทุกๆ เรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมในวิถีชีวิต ในพิธีกรรมทั้งหลาย จะมีการบันทึก
สรุป ประมวล ซึ่งจะจัดการกับสิ่งที่เราได้มา เป็นการตกผลึก
และก็จะสร้างให้เกิดการยกระดับความรู้ทุกครั้งที่ทำงาน
อีกประการที่สำคัญคือการออกแบบโครงสร้าง
ให้ทุกคนทำงานไปบนเครื่องมือตัวหนึ่ง เราใช้ intranet
เป็นตัวช่วยที่ทำให้การระดมสมองเป็นไปได้ในงาน หากว่าใครทำแผนอะไร
จะเข้าไปในเครื่องและบันทึกทั้งหมดลงไป
ใครก็สามารถเข้ามาดูข้อมูลที่เกิดขึ้น เมื่อมีฐานความรู้ชนิดนี้
ไปทำงานต่อยอดความรู้ที่สะสมไว้สมองการที่ intranet
ก็จะเพิ่มขึ้นทีละนิด
อันนี้เป็นตัวอย่างตั้งแต่ปรัชญาถึงการปฏิบัติ
การทำงานเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายว่าทำอย่างไรโรงเรียนของเราจะเป็นโรงเรียน
แห่งการเรียนรู้
ประเด็นที่สำคัญคือคุณครูทำงานกลุ่มเหมือนกับที่เราให้นักเรียนทำ
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นครูผู้บริหารหรือเด็ก เราจะเติบโตไปในวิถีเดียวกัน
ขอบคุณค่ะ
ไม่มีความเห็น