นวัตกรรมในการสร้าง “นักจัดการความรู้ท้องถิ่น”
เราได้รับทราบวิธีการสร้างนักจัดการความรู้ท้องถิ่นแบบแหวกแนวสุดสุด เมื่อวันที่ 21 ก.ค.48 เมื่อ รศ. ประภาภัทร นิยม ผู้อำนวยการสถาบันอาศรมศิลป์ และกรรมการและเลขานุการมูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณ มาเล่าให้ผมกับคุณสุภาภรณ์ ที่ สคส. ฟัง คณะที่มาพร้อมกับ อ.ประภาภัทร ได้แก่ อ.อดิศร จันทรสุข ผู้จัดการอาศรมศิลป์, อ.กริน และคุณมิรา ชัยมหาวงศ์ ฝ่ายบริการวิชาการอาศรมศิลป์ ([email protected])
โครงการนี้ชื่อ “แผนที่คนดี” (People Mapping) ได้รับเงินสนับสนุนช่วงโครงการนำร่อง 6 เดือนแรกจากศูนย์คุณธรรม ดำเนินการที่ อ.เกาะลันตาใหญ่ จ.กระบี่ โดยดำเนินการใน 3 หมู่บ้าน (หัวแหลม, ศรีรายา, สังกาอู้) ใน 15 หมู่บ้านของอำเภอ
ผมจะไม่เล่ารายละเอียด เพราะจะยืดยาวมาก จะขอตั้งข้อสังเกตในลักษณะการตีความ จากการพูดคุยกับทีมของ อ.ประภาภัทรในวันนั้น และจากการอ่านเอกสารโครงการที่ อ.ประภาภัทรทิ้งไว้ให้อ่าน คงต้องย้ำว่าโครงการนี้เพิ่งเริ่มดำเนินการไปได้สัปดาห์เดียวในเวลาทั้งหมด 6 เดือน คณะผู้วิจัยก็ตื่นเต้นและนำมาเล่าให้ผมพลอยตื่นเต้นไปด้วย
โครงการแผนที่คนดีนี้ มีวัตถุประสงค์ 6 ประการ
1) สร้างความมั่นใจในคุณค่าของตนเอง และเห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน ในหมู่ชาวบ้าน
2) สร้างองค์ความรู้ด้านวิธีการชักนำให้สมาชิกของชุมชนเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาชุมชน
3) สร้างนักพัฒนาท้องถิ่น (ซึ่งผมขอเรียกว่า “คุณอำนวย” ชาวบ้าน)
4) พัฒนาทักษะในการสื่อสารให้แก่ชุมชน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ใหม่ในชุมชน
5) สร้างขีดความสามารถให้นักพัฒนาท้องถิ่นสามารถสร้างความสัมพันธ์กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้สนใจความต้องการของชุมชน
6) ชุมชนสามารถฟื้นองค์ความรู้ของตนเอง และสร้างความรู้ใหม่จากความรู้ภายนอกขึ้นใช้ในชุมชน
ผมเข้าใจว่าหัวใจของโครงการนี้อยู่ที่การออกแบบและท่าที ที่ให้ชาวบ้านเองเป็นเจ้าของโครงการ คือจะหาและฝึกชาวบ้าน 10 คนมาเป็นผู้ดำเนินการ โดยทีมวิจัยทำหน้าที่ “คุณอำนวย” เอาเข้าจริง ๆ ก็ได้ชาวบ้านที่ “สู้ไม่ถอย” 6 คน
เท่ากับเป็นการฝึกให้ชาวบ้านนั้นเองเป็น “นักพัฒนาชุมชน” ทำงานพัฒนาชุมชนของตนเอง
และพัฒนาชุมชนด้วยวิธีใหม่ คือเข้าไปคุยทีละบ้าน ทีละคน เพื่อบันทึกข้อมูลว่าใครเก่งอะไร ค้นหาความดีในแต่ละคน
ตรงนี้แหละครับที่ “ทักษะในการฟังอย่างลึกซึ้ง” (deep listening) แสดงผล ทีมของสถาบันอาศรมศิลป์ – โรงเรียนรุ่งอรุณ ฝึกฝนด้านสุนทรียสนทนา (dialogue) ฝึกฝนทักษะของสมองซีกขวากันมาตลอด ท่าทีของการรับฟังคงจะต้องตาของชาวบ้าน ยิ่งเมื่อฟังแล้วยังบันทึกเสียง (แบบไม่ให้รู้ตัว) เอามาทบทวนและสรุปเอากลับไปถามชาวบ้านว่าสรุปถูกต้องหรือไม่ ชาวบ้านเกิดความประทับใจว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครสนใจเรื่อราวของคนเล็กคนน้อยอย่างตัวเขาอย่างจริงจังเช่นนี้เลย จึงเกิดความเชื่อถือ (trust) อย่างรวดเร็ว และ “นักพัฒนาชาวบ้าน” ก็เรียนรู้วิธีสร้างความสัมพันธ์ใหม่ในชุมชน จากการสื่อสารแบบใหม่ – การสื่อสารแนวราบ การสื่อสารจากใจถึงใจ การเรียนรู้ของนักพัฒนาชาวบ้านนี้เป็นการเรียนรู้จากการกระทำด้วยตนเอง จากการสัมผัสเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จึงเกิดพลังมากทำให้ “นักพัฒนาชาวบ้าน” เกิดจินตนาการกว้างไกล ถึงกับพูดว่า “เราน่าจะเอาวิธีการนี้ไปช่วยพี่น้องใน 3 จังหวัดภาคใต้” เนื่องจาก “นักพัฒนาชาวบ้าน” บางคนเป็นมุสลิม
ผมคิดว่าหัวใจของความสำเร็จในระยะแรกของโครงการนี้อยู่ที่การวาง “ตำแหน่ง” หรือ “น้ำหนัก” ที่เหมาะสม คือให้ “นักพัฒนาชาวบ้าน” เป็นพระเอก – นางเอกและเมื่อทีม “นักพัฒนาชาวบ้าน” กับนักวิจัยในโครงการไปคุยกับชาวบ้าน ก็คุยแบบยกให้ชาวบ้านเป็นพระเอก – นางเอก
ในเอกสารโครงการเขียนว่า ใช้วิธีการวิจัยแบบ PAR (Participatory Action Research) แต่ผมคิดว่าเป็น PAR แบบที่ลึกกว่า PAR โดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็น PAR แบบที่ชาวบ้านเป็นเจ้าของ 2 ซ้อน คือชาวบ้านที่เป็น “นักพัฒนาชาวบ้าน” กับที่เป็นผู้ให้ข้อมูล ยิ่งเป็นการให้ “ข้อมูลความดี ข้อมูลคนเก่ง” ยิ่งเกิด “การมีส่วนร่วม” แบบมีอารมณ์ร่วมสูงมาก
ในขั้นตอนที่ผ่านมา ทีมวิจัยที่ลงไปสัมผัสกับ “นักพัฒนาชาวบ้าน” และตัวชาวบ้านเองมากที่สุดคือคุณมิรา ซึ่งเรียนจบมาทางเศรษฐศาสตร์ ไม่ประสีประสากับเทคนิคเชิงมานุษยวิทยา แต่เข้าใจว่าเธอจะมีพรสวรรค์ด้านการเข้าถึงใจคน จึงสามารถสร้างความสัมพันธ์ในระดับไว้วางใจกับชาวบ้านได้ดีและรวดเร็ว ผมบอกคุณมิราว่า นี่จะเป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกได้สบาย ๆ ถ้าทำต่อเนื่องสัก 3 – 4 ปี คุณมิราบอกว่า “ปริญญาโทหนูยังไม่มีเลย”
จากประสบการณ์ของโครงการนำร่อง ทางสถาบันอาศรมศิลป์มีแผนจะดำเนินการทำ “แผนที่คนดี” ทั่วทุกภาค
ซึ่งจะเกิดคุณูปการต่อสังคมไทยอย่างมหาศาล
ผมเกิดความคิดขึ้นว่า หลังจากโครงการนำร่องนี้ดำเนินการไปได้เกือบจบ สคส. อาจสนับสนุนให้มีการจัดการประชุมวิชาการนำเสนอและแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการจัดการความรู้ในท้องถิ่นแบบใหม่ที่โครงการนี้ค้นพบ น่าจะสนุกและประเทืองปัญญายิ่งนัก
คงต้องย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ข้อเขียนนี้เป็นการตีความหรือเดา อาจไม่เป็นจริงตามที่เขียนก็ได้ คณะผู้วิจัยอาจเข้ามาแก้ความเข้าใจผิดของผมได้
รศ. ประภาภัทร นิยม คุณมิรา ชัยมหาวงศ์
วิจารณ์ พานิช
24 ก.ค.48
ไม่มีความเห็น