เมื่อหลายเดือนก่อน ผมต้องไปเป็นวิทยากรเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ต้องขัง ที่จะได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพัทลุง ในเรื่องสิทธิด้านสุขภาพและบริการสาธารณสุข ในขณะที่ผมไปถึงและรอเวลาอยู่ก็ได้รับการต้อนรับจากพัศดีมาเป็นเพื่อนพูดคุยด้วย ผมถามท่านว่าคนที่ติดคุกบ่อยครั้งที่สุด เขาจะต้องด้วยคดีอะไร และทำไมเขาไม่เข็ดบ้าง
ท่านหัวเราะก่อนตอบผมและชี้ให้ผมดูหนุ่มพิการคนหนึ่งที่นั่งอยู่ห่าง ๆ เพื่อรอคำสั่งอะไรสักอย่าง ว่าคนนี้แหละ เขาชื่อ “เหลือม” และเมื่อท่านเรียกเขาก็เข้ามาทำความเคารพ พร้อมทั้งนั่งรอคำสั่งในตำแหน่งที่ใกล้ชิดมากขึ้น ท่านให้ผมได้พูดคุยซักถาม “เหลือม” เอง ว่าทำไมเข้ามาที่นี่บ่อย ก็ได้คำตอบที่ทำให้ผมตลึงจังงังไปเลยว่า “อยากมาอยู่ที่นี่, ที่นี่สบาย, ได้ทำงาน เขาใช้ให้ผมทำงาน” ผมถามต่อว่าแล้วทำอย่างไรถึงได้เข้ามา ก็ได้คำตอบว่า “ลักขโมย เพื่อให้ถูกจับ” เมื่อถามว่าแล้วเมื่อพ้นโทษคราวนี้ จะทำอย่างไรให้กลับเข้ามาอีก เขาตอบว่า “จะทำแบบเดิม หากเป็นไปได้ไม่อยากออกไปเลย”
ถึงเวลาที่ผมต้องเข้าไปพูดคุยกับกลุ่มเป้าหมายแล้ว ผมเลยขอตัวเพื่อเดินตามพัศดีอีกท่านหนึ่งไปยังห้องที่เตรียมไว้ ในใจยังอยากค้นหาคำตอบต่ออีกมาก และต้องพักไป แต่ระหว่างเดินผมก็ถามข้อมูลไปพลางพบว่า “เหลือม” เป็นคนตะโหมด พื้นเพเดิมอยู่ใกล้ ๆ กับสถานีอนามัยพรุนายขาว หลายวันต่อมาผมก็ได้มาสอบถามเรื่องราวต่อจากพี่หรอย ก็พบว่า “เหลือม” เป็นที่รู้จักของคนแถวนี้กันอย่างกว้างขวาง ในนาม “บ่าว” ส่วนชื่อ “เหลือม” นั้นเป็นฉายาที่ตำรวจเรียกเมื่อคราวจับได้ครั้งแรก ๆ คดีลักทรัพย์ ซึ่งในขั้นสอบสวน “บ่าว” ให้การรับสารภาพตลอดข้อหาด้วยคำพูดว่าสำนวนคนใต้ว่า “ตั้งไว้พันนั้นก็เสร็จเหลือมเสียแหละ” (หมายถึงเก็บไว้ไม่มิดชิด ไม่ระมัดระวัง เห็นมีโอกาสก็เลยขโมย โดยไปเปรียบเทียบกับอุปนิสัยการล่าเหยื่อของงูเหลือม)
เมื่อคืน (18 กุมภาพันธ์ 2549) ช่วงหัวค่ำ พี่หรอย, Dr.Ka-poom และผม ได้สนทนา ลปรร.กัน เพื่อ get ประเด็นการจัดการความรู้ในโครงการไตรภาคีร่วมพัฒนาสุขภาพชุมชน มีตอนหนึ่งได้พูดถึง “เหลือม” ขึ้นมา ทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้เหลือมพ้นโทษออกมาแล้ว และยังไม่ได้กลับเข้าไป คำถามเกิดขึ้นในใจว่า เขากำลังพยายามที่จะกลับเข้าไปอีกหรือไม่ หรือเขาค้นพบอิสรภาพภายนอกโดยปราศจากการคุมขังแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดได้คือ “การคุมขังไม่ใช่การทำให้ขาดอิสรภาพเสมอไป” แต่ “การยอมรับซึ่งกัน” สิ่งนี้มากกว่าที่เป็น “อิสรภาพ” ไม่ว่าจะอยู่ในบริบทใด
การกักขังที่แท้จริงคือการกักขังตนเองจากอิสรภาพที่พึงได้พึงมี ไม่มีใครทำใครให้สุญเสียอิสรภาพได้นอกจากตนเอง ทำตนเองทั้งนั้นแหละ
อิสระภาพ..ในบริบทของ "เหลือม"
สิ่งที่เราได้เกิด..จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้..ในค่ำคืนหนึ่ง
นั่นคือ.."อิสระภาพ"..ตามนัยของ
"เหลือม"...
เหลือมเรียนรู้ที่จะแสวงหาอิสระภาพ..ด้วยจิต..และใจ..
ที่ศรัทธา..ในความสุข
และบทสรุป..ที่เรา (พี่หรอย, คุณชายขอบ, และดิฉัน)
ได้พบ นั่นคือ.."เหลือม"
เรียนรู้อิสระภาพที่มีสุข..ภายใต้การ
ได้รับการยอมรับ..ที่เอื้อนำให้เกิด
"ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง"
(Self-esteem)
การเรียนรู้และจัดการกับความรู้ของ "เหลือม"
เมื่อวันที่ผมได้ไป ลปรร.กับทีมนำฯ
ในการพัฒนาสุขภาพของชุมชนเกาะเรียน (21 กุมภาพันธ์ 2549)
ผมได้รับทราบเพิ่มเติมจากการสนทนากันว่า
"เหลือม" ออกจากคุก และมีความสุข
อยู่กับอิสรภาพนอกคุกแล้ว ผมประเมินคร่าว ๆ ว่า...
เหลือมได้ผ่านกระบวนการตกผลึกทางความคิด
และการปฏิบัติด้วยการแสดงน้ำใจไมตรี อารมย์ดีเสมอ
อาสาช่วยเหลือผู้อื่น ตามแต่กำลังตัวเองตั้งแต่ในคุก
สิ่งนี้เหลือมได้เคยทำก่อนเข้าคุกครั้งหลัง ๆ
แต่ถูกปฏิเสธจากสังคมนอกคุก เพราะเพียง "เหลือมคนขี้คุก"
มันน่าเศร้าที่ทำให้เหลือมดิ้นรน
"เพียงเพื่อให้ได้รับการยอมรับ"
"เพียงเพื่อให้ได้รับอิสรภาพ" โดยเลือกที่จะถูกคุมขังตัวเองในคุก
วันนี้เหลือมได้ถีบจักรยานไปอาสาช่วยงานใครต่อใครในชุมชน
ด้วยคำพูดของเหลือมที่ว่า "ช่วยเพราะอยากช่วย
ไม่ใช่อยากได้อะไร"
ใครต่อใครในชุมชน ก็ยอมรับเหลือม ไว้ใจ เห็นใจ และเข้าใจ เหลือม
(ผมสัมผัสได้จากการสนทนาถึงเหลือมในเวที)
ยามมีงานมงคล อวมงคล ใด ๆ ในชุมชน
เหลือมจะเป็นกำลังสำคัญแม้จะพิการ
ขวดน้ำพลาสติกที่มากมายก่ายกอง และสังคมบอกว่าเป็นขยะ
เป็นรางวัลของเหลือมที่เจ้าของงานมอบให้เป็นกรรมสิทธิ์
ข้างแกงทั้งกินและใส่ถุงกลับบ้าน ที่เจ้าของงานตักยื่นให้ด้วยไมตรี
ก็เช่นกัน เป็นรางวัล
ช่างแตกต่างเหลือเกินกับอดีตของเหลือม เพียงเพราะคำว่า "ยอมรับกัน"
เท่านั้น
วันนี้และวันต่อ ๆ ไป
เหลือมจึงยังจะอยู่ในชุมชนแห่งนี้ต่อไปด้วย "ความไว้วางใจกัน"
ผมเชื่อมั่นอย่างนั้น และเชื่อมั่นในชุมชนนี้
ว่าจะกลับมาเป็นชุมชนสันติสุขได้อีกครั้ง
จากเรื่องเล่าของเหลือม ที่เป็นกรณีศึกษาของชุมชนเอง
ซึ่งเป็นโจทย์ง่าย ๆ ที่ยกขึ้นมาในวันนั้น...