เมื่อวานดิฉันเข้าไปซื้อของใช้จำเป็นในร้านสะดวกซื้อ เวลาเย็นใกล้ค่ำอย่างนี้ ลูกค้าหนาแน่นพอควร จนทำให้ต้องเข้าคิวกันชำระค่าสินค้า ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ยืนต่อแถวคนที่ 3 ทันใดนั้นก็มีชายกลางคนจูงมือลูกชายวัยประมาณ 10 ปี สวมชุดนักเรียน ในมือถือนมสดบรรจุขวดเล็ก คนเป็นพ่อเดินมายืนบริเวณเคาร์เตอร์จ่ายเงิน ซึ่งมีลูกค้ากำลังจ่ายเงิน พ่อดันหลังลูกชายแล้วพูดว่า “ลูกเดินเข้าไปจ่ายเลย” ซึ่งลูกชายก็ละล้าละลังเพราะแกคงมองเห็นว่ามีคนกำลังต่อแถวยาวอยู่
คนเป็นพ่อไม่ละความพยายามพูดกับลูกด้วยประโยคเดิมแล้วจับมือลูกที่ถือนมอยู่ วางหน้าเคาร์เตอร์จ่ายเงิน คนอื่นอาจไม่สังเกต แต่สำหรับดิฉันแล้วมองตาไม่กระพริบว่าเหตุการณ์นี้จะจบอย่างไร สุดท้ายเด็กคนนี้ก็วางนมสดลง พนักงานขายหยิบขวดนมไปให้เครื่องบาร์โค๊ดอ่าน รับเงิน เรียบร้อย พ่อเด็กยืนมองด้วยความสบายใจ เสร็จแล้วก็เดินพากันเดินออกไป โดยไม่เหลียวมองสายตาผู้ใด
เมื่อถึงคิวดิฉัน จึงถามกับพนักงานว่า “ น้องค่ะ เวลาจะรับเงินค่าสินค้า คนที่เข้าคิวกับไม่เข้าคิว น้องรับเงินของใครก่อนค่ะ” พนักงานมองหน้าดิฉันแล้วยิ้ม ๆ
สถานการณ์นี้ทำให้ดิฉันคิดถึงนิทานวัยเด็ก เรื่องลูกปูเดินตามแม่ปู แม่เดินเป๋ไป ลูกก็เป๋ตาม ความจริงลูกคงอยากเดินแบบอื่นบ้าง แต่อิทธิพลความเป็นแม่ ทำให้ลูกต้องเชื่อและปฏิบัติตามพฤติกรรมที่แม่บรรจงสร้างให้ การสร้างสภาพที่เอื้อต่อการเรียนรู้นอกห้องเรียนจึงไม่พ้นหน้าที่ของคนเป็นพ่อ แม่ และสังคมรอบข้าง แต่ใครล่ะจะจัดวางหรือเสริฟให้คนในความดูแลได้รับรู้ เรียนรู้ ได้อย่างเหมาะสม
น้องครูอ๊อด
กรุณาเช็คดูอีเมลล์นะครับ
อึ่ม......อึดอัดจริง ๆ ครับ กับคนที่ไม่รู้จักการเข้าคิว....
หวัดดีครูออ๊ด
คนไร้วินัย สังคมเลยไร้ระเบียบ
พ่อแม่ เป็นต้นแบบของครอบครัว
ผู้นำ เป็นต้นแบบของผู้ตาม
จัดงานวันเด็ก ให้อะไรแก่เด็กๆ
ที่ควรค่าบ้างก็ดีนะ
สภาพที่เอื้อต่อการเรียนรู้
สภาพที่เอื้อต่อการเรียนรู้
สิ่งแวดล้อมคือครูเราจริงๆครับ สมกับที่เป็นครูkm