เมื่อเป็นนักเรียน คุณครูเคยสอนว่านักปราชญ์ คือ ผู้มีปัญญา ปัญญามาจากการฟัง การคิด การถาม และการเขียน ที่ย่อคำต้นไว้ให้จำกันได้ง่ายๆว่า สุ จิ ปุ ลิ
เมื่อเป็นครู และได้มาสัมผัสกับงานจัดการความรู้ ที่ก่อให้เกิดปัญญาจากการปฏิบัติ จึงลองทบทวนดูว่า การจัดการความรู้ที่รู้จักจะมีอะไรเหมือนกัน หรือต่างกันที่ตรงไหนกับหัวใจนักปราชญ์ เพราะน่าสนใจว่าทั้งสองต่างก็เป็นเครื่องมือสร้างปัญญาให้กับผู้ปฏิบัติ
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน แล้วนำกลับมาปฏิบัติ ปรับปรุงแก้ไข หาปัจจัยของความสำเร็จ ด้วยการคุย คิด คลิก คลำ แบบที่อาจารย์วรภัทร์ ภู่เจริญ ย่อเอาไว้ก็ดูจะเชื่อมกันได้พอดีกับคาถาของหัวใจนักปราชญ์ที่โบราณจารย์ท่านว่าไว้
คราวนี้มาลองดูเครื่องมือ และรูปแบบที่ใช้กันบ้าง
ในการทำงานจัดการความรู้
ฟัง คิด ถาม เขียน ในแบบของการจัดการความรู้นี้ ยิ่งทำก็ยิ่งเพิ่มพูนสติปัญญา และทักษะในการปฏิบัติ ช่วยให้พบวิธีการการพัฒนาคน พัฒนางาน และพัฒนาองค์กร ให้เป็นเรื่องเดียวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ขอมอบบันทึกนี้ เป็นสคส. แด่ผู้รักการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทุกท่านค่ะ
ชื่นชมครูใหม่มากๆค่ะ และขอสวัสดีปีใหม่ด้วยค่ะ
สวัสดีครับ
มาเก็บข้อคิดดีๆ และสวัสดีใหม่ ขอให้มีความสุข สดชื่นตลอดปีใหม่นี้นะครับ
ได้อ่านข้อความแล้ว ได้ข้อคิด ดีดีเพิ่มขึ้นอีกมากครับ ขอบคุณครับ
วันนี้ได้เข้ามาคลิก แล้วก็อ่านไปคิดไป ตามด้วยเขียนด้วยความชื่นชมในการเชื่อมประสานความรู้เพื่อการนำเสนอเส้นทางของความเป็นปราชญ์ยุค IT ถ้ามีโอกาสแล้วจะคลำต่อไปครับ(สงสัยไม่ได้เป็นปราชญ์ก็ตรงที่ไม่ได้ฟัง กับไม่ได้คลำนี่หละครับ ล้อเล่นนะครับ)
ขอบคุณคุณวีระ และคุณว่าที่ร.ต.วุฒิชัยมากค่ะ ที่แวะเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้...ดิฉันคิดว่าการฟังเป็นประตูที่สำคัญที่สุด ที่จะนำเราสู่ปัญญา แต่ถ้าไม่คลำ คิอไม่ได้ปฏิบัติควบคู่กันไปแล้ว คงจะมีแต่ความรู้ขาเข้า ไหนเล่าจะเท่าลองทำ...จริงไหมคะ