เลเซอร์ เป็นแสงที่มีความถี่เดียว จึงมีประสิทธิภาพพลังงานสูงที่สุด สูงกว่าแสงอื่น
เหตุผล คงต้องย้อนไปดูแนวคิดของ Bose นักฟิสิกส์ชาวอินเดีย ที่ไอน์สไตน์ไปต่อยอดเป็น BEC (Bose-Einstein Condensate) ซึ่งเลเซอร์ ก็มีพฤติกรรมแบบนั้นเช่นเดียวกัน เพียงแต่แทนที่จะเป็น boson ก็เป็น photon แทน
Bose เสนอว่า สิ่งที่เป็นแฝดเสมือนซึ่งกันและกัน สามารถสลับกันได้หมด โดยเราไม่สามารถแยกแยะได้เลย รูปแบบการจัดเรียงแบบสลับที่ จึงมีค่าเป็น 1 แบบ ไม่ใช่เป็นไปได้หลากหลายเหมือนกรณีของการเรียงของสิ่งที่แตกต่างกัน
ผลคือ เมื่อคิด entropy ซึ่งเท่ากับค่าคงที่ คูณ natural log ของรูปแบบที่เป็นไปได้ทั้งหมดของการจัดเรียง ก็จะเท่ากับการใช้ค่าคงที่ คูณด้วย natural log ของ 1 ซึ่งก็จะกลายเป็นศูนย์
ระบบทีี่ entropy เป็นศูนย์ คือระบบที่ไม่มีการสูญเสียใด ๆ เกิดขึ้น ประสิทธิภาพ ก็จะเต็มร้อย !
แนวคิดของ population inversion (จาก wiki)
http://en.wikipedia.org/wiki/Population_inversion
แนวคิดนี้ เป็นหลักการยุคแรก ๆ ของเลเซอร์ ที่ผมเชื่อว่า มีความเป็นสากลซ่อนอยู่ ให้เรานำไปประยุกต์ใช้กับ สังคม ก็ได้
แนวคิดคือ
E1 เป็นระดับพลังงานต่ำสุด
E3 เป็นระดับพลังงานที่สูงมาก
E2 เป็นระดับพลังงานสูงปานกลาง ที่หากปลดปล่อยพลังงานจากระดับนี้ จะปล่อยพลังงานออกมาในรูปของเลเซอร์ได้
เขาปั๊มพลังงานเข้าไป ให้ E1 กระโดดไปเป็น E3 เลย
แล้ว E3 ปล่อยพลังงานออกมา กลายเป็น E2 และ E2 อาจปล่อยออกมาเป็น E1 ในรูปของเลเซอร์ได้ ในบางเงื่อนไข
โดยกระบวนการเหล่านี้ มีการบังคับให้แสงที่เกิดขึ้น สะท้อนกลับไปกลับมาระหว่างกระจกคู่ ซึ่งฟากหนึ่ง แสงผ่านได้นิดหน่อย จนเมื่อเกิดการกำทอน (resonance) ได้ที่ ก็สามารถทะลุกระจกออกไปได้
หาก E3 ไปเป็น E2 เร็วกว่าการที่ E2 เปลี่ยนเป็น E1 จะทำให้เกิดการคั่งของ E2 และแทบไม่มี E1 ทำให้เกิด population inversion
ลองดูกรณีอีกแบบ ว่า ถ้าเป็นกรณีทั่วไป ที่ไม่สามารถกระโดดไป E3 ได้ จะเป็นอย่างไร
กรณีนี้ เราใส่พลังงานเข้าไป ก็จะเกิดการเกลี่ยพลังงานตามกฎของ Boltzman distribution ซึ่งเป็นรูปแบบที่เรารู้จักกันในนามกฎของ Pareto คือ "จำนวนน้อย ครอบครองมาก จำนวนมากที่เหลือ ครอบครองส่วนน้อยที่เหลือ"
แสดงว่า E3 จำเป็น ขาดไ-ม่ได้
ลองมาดูว่า ถ้าเทียบกับกรณีที่เราเห็นในสังคม
E1 อาจเหมือนกับกลุ่มคนที่ไม่มีความรู้ (ความรู้นี่ ทั้ง tacit และ explicit)
E3 ก็เหมือน ยอดมนุษย์ ที่สังคมทุ่มทุนสร้าง
E2 ก็จะเป็น สังคมความรู้ ที่เป็นคนเก่งแบบทั่วไป คือ ไม่ได้เก่งขั้นอัจฉริยะ แต่เก่งกันทั้งสังคม
ถ้าจะทำให้สังคมเกิดการขับเคลื่อนแบบมีพลัง สิ่งสำคัญคือ ขั้นตอน E3 ลงไป E2 หรือก็คือ ขั้นตอนการถ่ายเทความเก่ง จากยอดมนุษย์ ลงไปที่สังคมต้องเกิดเร็วมาก จนคนทั้งสังคม กลายเป็นสังคมความรู้
สังคมความรู้ ต้องมีการไต่เกลียวความรู้ (ซึ่งเทียบเท่าการเกิด resonance) สะท้อนกลับไปมาจนสุกงอม จึงจะสามารถเกิดพลังขับเคลื่อน
สภาพที่เป็นอยู่ เราจะเห็นการทุ่มทุนสร้าง E3 คือ ทุ่มทุนสร้างยอดคน ปั๊ม "พลังงาน" เข้าไปมหาศาล
แต่ขั้นตอนที่ E3 ลงไป E2 (จะตีความว่าเป็น technology transfer จากภาคทฤษฎีสู่ภาคปฎิบัติ จากยอดมนุษย์ สู่วงผู้ใช้งานที่เอาจริงเอาจัง ก็พอได้ แต่ความหมายอาจกว้างกว่าการถ่ายเทแต่เทคโนโลยีอย่างเดียว) คือหัวใจหลักของกระบวนการเกิด laser ระดับสังคม หากไม่ชัดเจน ไม่เข้มข้น ไม่มาก และไม่เร็วพอ E2 จะหายไปเป็น E1 หมด
การใช้การตีพิมพ์ เป็นตัวสร้างยอดมนุษย์ โดยไม่มีกระบวนการถ่ายเทต่อลงมาข้างล่างอย่าง รวดเร็ว และมากพอ เราจะเห็นแต่ radiationless transition โดยไม่เกิดแสงเลเซอร์ ในระดับสังคม เป็นไปได้เพียงใด ที่จะทำให้ E2 เกิดจากทั้งแบบ ไหลลงมาจาก E3 หรือ งอกขึ้นไปจาก E1 ? คน น่าจะซับซ้อนกว่าโมเลกุล นะ อย่างน้อย ก็สักตี๊ดนึงแหละ
ลองคลิ๊กไปอ่าน บทสัมภาษณ์ของ "ดร.ธวัช" คนไทยในนาซา ในหนังสือพิมพ์ ดูนะครับ จะเห็น E3-E2-E1 ชัดเจนอยู่ในนั้น
ขอตัดมาบางส่วนจาก link ดังกล่าวครับ
ทิศทางงานวิจัยไทยต้องง่าย-สร้างรายได้ให้ประเทศเพิ่มขึ้น สำหรับทิศทางงานวิจัยของไทยต้องเริ่มเน้นที่ทำให้เกิดรายได้เข้าประเทศ เป็นลักษณะของการเพิ่มงาน งานวิจัยที่ทำให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ งานวิจัยที่สร้างงานและช่วยเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น และต้องครบวงจร ไม่ใช่นักวิจัยทำอย่างเดียวแต่ต้องศึกษาตลาดให้แน่ว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกทางหรือเปล่า ศึกษาการผลิตและการตลาด รวมถึงมีการบริหารจัดการที่ดี ไม่ใช่แค่วิจัยและพัฒนาแต่เป็นการบริหารจัดการวิจัยและพัฒนา "เมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว ถ้าใครออกมาพูดว่า "ผมจะทำน้ำเกลือ" คงโดนหัวเราะว่าทำไมทำของง่ายๆ แต่ถ้าบอกว่าทำยาแก้ปวด ยาแก้มะเร็ง โอ้โห เท่ห์ คนเห็นยกนิ้วให้ แต่เคยทำได้หรือเปล่า ของจำเป็นคืออะไร น้ำเกลือ คิดว่าทำน้ำเกลือง่ายหรือ รู้หรือเปล่าถ้าทำในปริมาณมากๆ ทำยังไง ทำไมไม่ทำของพื้นๆ แล้วค่อยไต่ขึ้นไป จับของยากแล้วก็ล้ม เป็นศูนย์ แล้วก็จับของยากอีกก็ล้มอีก ตอนนี้ก็ไปจับนาโนเดี๋ยวก็ล้ม สูญเสียเม็ดเงินพวกเรา ไปจับดาวเทียมเดี๋ยวก็ล้ม ไปจับเครื่องสแกน 3 มิติเมื่อ 10 กว่าที่แล้วก็ล้ม ลุ้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนี้ ลองทำมือถือให้ได้สิ ปีหนึ่งสั่งเข้ามาเท่าไหร่ เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้ ของยากก็ทำไม่ได้ ของกลางๆ ก็ทำไม่ได้" หน่วยงานวิจัยต้องเน้นสร้างรายได้-ปล่อยมหาวิทยาลัยทำงานพื้นฐาน ดร.ธวัชกล่าวว่างานวิจัยต้องช่วยเศรษฐกิจของประเทศด้วย เพราะนักวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของแรงงานประเทศ ไม่ใช่จะปล่อยให้ประเทศเลี้ยงตลอด ที่ผมพูดคือเป็นงานวิจัยแบบครบวงจรที่ทำให้เกิดรายได้แก่ประเทศ ซึ่งเรายังทำน้อยอยู่ ต้องทำงานวิจัยเป็นทีม สร้างผลิตภัณฑ์ออกมา ซึ่งเป็นการวิจัยและสร้างองค์ความรู้เหมือนกันเพราะมีกระบวนการให้ศึกษาเยอะแยะ ส่วนงานวิจัยพื้นฐานก็ยังคงต้องมีอยู่ ใครอยากอิสระก็มาวิจัยทางนี้ วิจัยสังคมก็จำเป็นเพื่อให้ข้อมูลแก่รัฐบาลและสังคมเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม "แม้แต่นาซาก็ทำแบบนี้ ไม่ค่อยมีงานวิจัยพื้นฐาน เพราะงานวิจัยพื้นฐานจะอยู่ที่มหาวิทยาลัยเยอะ แต่ตอนนี้มันมั่วกันหมด ทั้ง สกว. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย) สวทช. (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) ทำอะไร สร้างนักวิจัย ช่วยเด็ก การศึกษาเด็ก กลายเป็นว่าทุกคนสร้างเด็กกันหมด เพราะมันง่าย ตอนนี้เราสร้างเด็กมา 30 ปีแล้ว แทนที่ สวทช. สกว.หรือหน่วยงานอื่นๆ จะเน้นหนักที่งานวิจัย เพราะอุตส่าห์แยกออกมาแล้ว ส่วนสอนเด็ก สร้างนักวิจัย สร้างงานวิจัยพื้นฐานปล่อยให้มหาวิทยาลัยจัดการ แล้วเอาคนที่สร้างแล้วมาทำงาน" เตือนเสียเงินสร้างตึก 1.7 พันล้าน-ได้งานวิจัยลดลง พร้อมกันนี้ ดร.ธวัชได้ยกกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้สร้างตึกนวัตกรรมมูลค่า 1.7 พันล้านบาท ว่าจะทำให้ได้งานวิจัยน้อยลงเมื่อเอาเงินไปลงทุนกับการก่อสร้างจำนวนมากซึ่งเปรียบเหมือนการลงทุนสร้างวัง พร้อมยกตัวอย่างบริษัทที่มีนวัตกรรมชั้นนำระดับโลก อย่างเดลล์ (Dell) ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ยาฮู (Yahoo) และกูเกิล (Google) ว่าบริษัทใหญ่ๆ เหล่านั้นเริ่มต้นจากการทำงานในโรงรถ อพาร์ทเมนต์ และสถานที่ทำงานเล็กๆ "ถ้าคุณสร้างวังนะเงินมันก็ทะลักเข้าไปตรงนั้น นักวิจัยที่จะสร้างงานก็น้อยลงเพราะคุณเอาเงินไปสร้างราชวังหมด แต่ละปีต้องจ้างคนเช็ดถู ค่าคนงาน ค่าน้ำ ค่าไฟอีก กวาดเข้าไปอีกหลายร้อยล้าน แล้วจะเหลือเงินอะไรมาทำงาน ไปรังสิตก็สร้างวังใหญ่เบ้อเร่อ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาทำแบบนั้น ถ้าคุณอยากจะทำเอาเงิน 40-50 ล้าน สร้างขนาดเล็กๆ ก่อน แล้วเอาเงินพันล้านมาทำงานดีกว่า สร้างโครงการได้นับพัน" |
หมายเหตุแนบท้าย
หลักการข้างต้น มีในแบบเรียนฟิสิกส์ ม.ปลาย ขอยืมวัยรุ่นเค้ามาดูเทียบว่าตัวเองเข้าใจผิดในหลักการมูลฐานมั้ย สรุปแล้ว น่าจะยังโอ...
อันที่จริง ปัจจุบัน มีหลักการอื่นทำเลเซอร์แบบอื่นอีกเพียบ แต่รอให้คนที่ไม่ติด D ฟิสิกส์มาอธิบายเถอะ ว่าจะพลิกแพลงใช้ยังไง
...ผม... "ขอบาย"
สวัสดีปีใหม่ครับ
ขอพรปีใหม่ให้อาจารย์และครอบครัวมีความสุข สดชื่น ตลอดปีใหม่นี้นะครับ
สวัสดีค่ะ อ.วิบุล
อิ อิ อิ เข้าท่าค่ะอาจารย์
ที่ผ่านมาเราสร้างยอดมนุษย์ได้เยอะพอสมควรนะคะ นอกจากยอดมนุษย์แล้วเราก็มีเทวดาที่คอยกำกับดูแลด้วยสิคะอาจารย์
ปัญหาที่เรามีเกิดทั้งตัวยอดมนุษย์และเทวดาที่ดูแล เพราะ่ยอดมนุษย์ของเราก็มีบางส่วนที่ท่านไม่นิยมการปกป้องโลก แต่นิยมการอยู่เหนือดิน เรามีวิธีให้ท่านลงมาคลุกดินได้มั้ยคะอาจารย์ ?
แถมเทวดาท่านก็ใช้เงิน ( ของรัฐ ) ไม่ค่อยเป็นซะอีก ทำให้สะพานเชื่อมระหว่าง E3 - E2 มีปัญหา มักจะมีแต่สะพานเชื่อมระหว่าง E 3 กับเทวดา ที่ไปมาหาสู่กันได้มากหน่อย.. E 1 เลยไม่มีทางเลือกต้องก้มหน้าก้มตาไปตามแต่ที่เทวดาท่านจะบัญชามา
สวัสดีปีใหม่ค่ะ ^ ^
สวัสดีปีใหม่ครับ คุณ ธ.วั ช ชั ย
สวัสดีครับ คุณเบิร์ด
บันทึกนี้ลึกซึ้งมากครับ อยากให้ทั้งเทวดาและยอดมนุษย์ได้มาอ่านเหลือเกินครับ