เก็บที่ไปเสือกชาวบ้านไว้ ธค 50


http://gotoknow.org/blog/beautifulmemories/155433?page=1 อยากให้G2K เป็นอย่างไร 24 ธค

สวัสดีค่ะคุณ เบิร์ด

ชื่อบันทึกเร้าใจดีค่ะ...อยากให้ G2K เป็นอย่างไร? แถมด้วยอรรถาธิบายที่สนุกสนานถึงชั้นเชิงของข้อมูล สารสนเทศ ความรู้ ความเข้าใจ และปัญญา ..ดูเหมือนว่าหรือคล้ายว่า ปัญญาจะน้ำหนักมากกว่าอย่างอื่น..และไม่สามารถถ่ายทอดได้ ต้อง อะห้า..ด้วยตัวเอง...หรือต้องใช้จินตนาการหางตาชำเลืองแถมด้วยทักษะความไวต่อสัมผัส...ต้องฝึกปรือกำลังภายในอ่านบันทึกผู้อื่นด้วยใจ.... แถมด้วยการให้ความเห็นต่อยอดต่อแขนงกันพอสมควรถึงจะเกิด "ปัญญา" ....ร้อง อะห้า....

จะมีปัญญาได้และเจ้าตัวปัญญานี่มันน่าขยาดและน่ามหัศจรรย์เข้าถึงยากถึงเพียงนั้นเชียวหรือคะ ^^...

อยากถามต่ออย่างรื่นรมย์ว่า ตัวปัญญาสามารถ generalize ได้ไหมคะ...หรือว่าเป็นปัญญาเฉพาะกิจ..เฉพาะ บนโกทูโน ^^

ความรู้สึกในใจต่อโกทูโน เขียนไว้ใน ประวัติ ....ส่วนจะต้องปฏิบัติอย่างไร....ตัวเองมีความเชื่อมั่น ที่ตัวสามัญสำนึกค่ะ.....^^ สูงสุดคืนสู่สามัญ....แม้แต่บนโกทูโนก็ไม่เว้น....และมองเห็นชัดขึ้นเรื่อยซะด้วยซิคะ ^__^

26 ธค 2550

สวัสดีตอนเช้าค่ะ คุณเบิร์ด

กลับมาอีกรอบเพราะว่า เจ้าของบันทึกน่ารัก ^^ และทิ้งท้ายคำถามไว้ยาวเหยียด...(อุอุ) ถึงแม้ว่าจะสรุปไปหลายช่วงแล้วก็ตาม(...ก็อยากกลับมาตอบนี่นา....^^)

ขอบเขตของ การจัดการความรู้ที่เราต้องการ เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อองค์กร/สังคมนั้น อยู่ที่ไหนน่ะค่ะ เราต้องการแค่ อย่างไรก็เพียงพอแล้ว, หรือจำเป็นต้องมี ทำไมด้วย? (หรือยิ่งกว่านั้นคือ นี่คือวิธีที่ดีที่สุดหรือยัง” ?)

และเป็นไปได้หรือไม่ ที่เราจะสามารถจัดการ ความเข้าใจ และ ปัญญา ได้ ?

คำถามเขียวบนเป็นคำตอบที่อยู่ในคำถามไว้เรียบร้อย..ถ้าอ่านลงมาที่สรุปและความเห็นของคุณเบิร์ดข้างบน....ยกเว้นตรงที่ถามว่า ดีที่สุดหรือยัง....เลยจะไม่ตอบ....(ฮ่า)

แต่อยากตอบตรงที่ถามเขียวล่างค่ะ...เพราะเป็นคำถามปลายปิด yes or no ขอตอบว่า เราจะสามารถจัดการความเข้าใจและปัญญาได้ค่ะ แต่ก็อยากขยายความว่าทำไมถึงตอบ yes ก็เพราะว่า เฉพาะบนโกทูโนนี้ มีข้อมูล มีความรู้จากบุคคลอื่น วิ่งวนไม่รู้จบเยอะแยะไปหมด

ลำพังแค่ log in เข้ามาเปิดบล็อกได้ก็ถือว่าจัดการได้ระดับหนึ่งแล้ว...ลองสังเกตดูหลายๆครั้งน่ะค่ะ จะเห็นคนที่เริ่มบันทึกแรก มักจะร้อง เย้ เปิดบล็อกได้แล้ว และพอเปิดได้ส่วนมากก็ฝากเนื้อฝากตัวกับรุ่นพี่...ดูเล่นๆ ถึงพฤติกรรมบันทึกแรก ก็เห็นทั้งการได้จัดการความเข้าใจเรื่องบล็อก เรื่องสัมพันธภาพ เรื่องตำแหน่งของตัวเองในสังคมใหม่ ฯลฯ ถ้าดูต่อเน่องก็ยิ่งเห็นความซับซ้อนของการจัดการความเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ .....ส่วนตัวปัญญา....จะมาเริ่มหาจากโกทูโน..อยากไม่ใช่ทั้งหมดและทีเดียว..จะมองหาหรือเรียนรู้จากตรงนี้ต้องมีระบบจัดการในตัวเองก่อนแล้วประกอบกับอิทธิบาทสี่ ถึงจะทำให้เกลียวความเข้าใจเพิ่มพูนและเกิดปัญญาในตัวเอง...ลองยกประเด็นเดียวนะคะคือ เรื่องการมีบล็อกบนโกทูโน..ตัวอย่างคุณเบิร์ดมีธีมบล็อกสวยงาม คงไม่ได้เกิดจากแค่ข้อมูลหรือสารสนเทศ แต่คงมีความเข้าใจและฝึกปรือจนพัฒนาเกิดปัญญาในการจัดการทำออกมา...หรือหากมีคนช่วยทำ คนๆนั้นก็มีปัญญาในการทำ (แต่คิดว่าบุคลิกของคุณเบิร์ด...คงชอบเรียนรู้และทดลองทำเรื่องต่างๆด้วยตัวเองมากกว่า..ใช่ไหมคะ).....

ส่วนเรื่องอื่นๆ คิดว่าพื้นที่โกทูโนยังมีข้อมูลกระจายและระดับผิว superficial อาจจะเพราะความลึกของเนื้อหานั้นต้องไปหาอ่านจากพื้นที่ๆ เฉพาะเจาะจง..หรืออาจจะเพราะความลึกเฉพาะสาขานั้นมีพื้นที่อื่นสนองตอบแล้ว..อันนี้ไม่ทราบได้แต่เดาค่ะ ลองทำ planet nurse ก็พบว่าพยาบาลทุกๆท่านบนพื้นที่นี้ก็มีความหลากหลายของการบันทึก แต่ส่วนมากก็วนเวียนเรื่องสุขภาพในมิติต่างๆ แต่ที่จะลงลึกถึงปฏิบัติการ...คงไปเขียนที่อื่นสำหรับนักวิชาชีพเฉพาะทางอ่าน....พอไปลองรวมข้อมูลเฉพาะเรื่อง ที่นี่ ก็ยังพบว่ามีการเขียน จาก tacit knowledge ไม่มาก สิ่งต่างๆที่ลองมองลองหาลองดูบนพื้นที่นี้ เพราะว่าเริ่มรักพื้นที่นี้ไงคะ....ฮ่าๆ ....เลยต้องมองดูว่า ที่ว่ากันว่าทุกๆวัน คนวิ่งเข้ามาหาความรู้ในโกทูโนจนเครื่องแม่ข่ายแทบพัง...จริงๆแล้ว สิ่งดีๆ ที่เรามีนั้น เพียงพอหรือยังที่จะเป็นผู้นำทางด้านความรู้......หรือว่าเราจะตั้งเป้าหมายของโกทูโน(ที่มีคนพูดกันมากแล้ว) เหมาะกับความเป็นจริงของสภาพสังคมไทยไหม เราต้องการพื้นที่นี้เพื่อความรู้ในขีดใด และเพื่อจุดประสงค์อะไร

เพราะเราคงไม่สามารถตั้งวัตถุประสงค์ลอยๆ โดยไม่มีข้อมูลสนับสนุนแนวคิด หรือโดยไม่เข้าใจสถานะที่แท้จริงของตัวเอง....ไม่เช่นนั้นเราก็ได้แต่วาดฝันกันคนละภาพ..แล้ววิถีโกทูโนที่คุยกันมากี่รอบๆ ก็อาจจะขาดความเชื่อมโยงถึงการปฏิบัติจริงไปข้างหน้า...

.....อ้าวเริ่มเขียนแยะแบบเขียนไปปรารภไปแล้ว....คุณเบิร์ดนั่งหาวอยู่.หรือเปล่าคะ

ก่อนจบความเห็นนี้....ขอชมอีกรอบว่าคุณเบิร์ดเปิดประเด็นได้เร้าใจค่ะ....แถมยังเป็นเจ้าบ้านที่น่ารักอีกด้วย...ก่อนส่งบันทึกขออนุญาตเดินชมสวนดอกไม้ก่อนนะคะ....^___^

http://gotoknow.org/blog/mrschuai/155595 Reblog, rethink, Reprocess: สาระที่Gotoknow ควรจะมี

24 ธค 2550

สวัสดีค่ะคุณเม้ง

ได้ทดลองเก็บบันทึกในเรื่องเดียวกัน ไว้เป็นชุดความรู้สั้นๆ คือพรวนบันทึกเฉพาะเรื่อง...มะเร็งเต้านม...การสะกัดความรู้แบบนำร่อง ก็พบว่าไม่ยาก เพราะไม่ได้ทำถึงระดับ systematic review อาศัยการอ่านและมีกรอบอยู่บ้างสำหรับจัดหมวดกลุ่มของบันทึกเข้าชุดกัน...แต่ว่าต้องใช้เวลาและยังไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก...ผลที่ได้ที่เห็นชัดกว่าคือทำให้รู้ว่าเรื่องนั้นๆ ยังมีช่องว่างของความรู้ที่เผยแพร่กันใน G2K มากหรือน้อยเพียงใด..และพอจะเห็นน้ำหนักของเรื่องด้านใดชัดบ้างแล้ว...

การสะกัดความรู้จะนำมาเพื่อ re-blog re-think re-examine etc. อะไรก็แล้วแต่...ก็เป็นวิธีที่น่าลองทำได้เองในเรื่องที่เราเองถนัดอยู่บ้าง.......จะมีก็คือขอทางผู้ดูแลช่วยเปิดอีกหมวดเป็นหมวดสะกัดความรู้ขึ้นมา ก็อาจจะช่วยให้เกิดอีกระดับของข้อมูลความรู้เฉพาะเรื่องนะคะ....ตัวเองคิดว่าเป็นการจัดการด้านวิชาการที่สนุกไปอีกแบบค่ะ

ขอบคุณค่ะ

 

http://gotoknow.org/blog/sutthinun/155767 คนแซ่เฮตอนที่ 26 เรื่องที่เขียนอย่างไงก็ไม่สนุก

26 ธค 2550

สวัสดีค่ะ ท่านครูบา

อ่านมาก็หลายรอบ..อ่านทั้งบันทึกและความเห็นก็ไม่ติดใจสงสัยอะไร...

แถมๆ จะนึกถึงเรื่องเล่าเรื่องนี้ค่ะ...

เรื่องมีว่า ในครอบครัวหนึ่ง พ่อบ้านก็มีหน้าที่หาเงินมาดูแล แม่บ้านก็ช่วยทำนั่นนี่เล็กๆน้อยๆ พอไปขายเอาเงินมาได้บ้าง

วันหนึ่งบ้านหลังคารั่ว พ่อบ้านก็ปีนขึ้นไปซ่อม

วันที่สองหลังคาก็รั่วอีก พ่อบ้านก็ปีนขึ้นไปซ่อม..ซ่อมแล้วก็สังเกตว่าจุดรั่วมันที่เดิมนี่...หาสาเหตุอยู่สักพัก..อ๋อ...แม่บ้านเธอแอบเปิดกระเบื้องแผ่นหนึ่งตะโกนคุยกันกับเพื่อนบ้าน...พ่อบ้านเห็นอย่างนั้นเลยไปทำช่องเล็กๆ ไว้รอบบ้าน ประมาณว่าแม่บ้านอยากตะโกนคุยกับใครก็เปิดช่องคุยทีละช่องๆ

เอ๊ะ...อยู่ๆไป หลังคาก็รั่วอีก พ่อบ้านไปซื้อกระเบื้องมาซ่อมอีก แล้วก็พบว่าแม่บ้านก็ยังเปิดกระเบื้องตะโกนคุยกับเพื่อนบ้านอีก...เอาไงล่ะทีนี้....พ่อบ้านก็เลยเขียนบันทึกถึงแม่บ้านว่า "เราจะไม่มีเงินซื้อกระเบื้องแล้วนะ...แผ่นหลังๆเราก็ไปยืมมาจากเพื่อนบ้านแล้ว ต่อไปถ้าฝนตกเราจะทำอย่างไร"

แม่บ้านเห็นอย่างนั้นก็ รู้ตัวแต่งอน งอนว่าพ่อบ้านที่เคยรักกันดี จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาเขียนอย่างนี้ แม่บ้านก็เลยบอกว่า เอาล่ะ ถ้าเธอเห็นว่าฉันทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง ฉันก็จะไม่ทำอะไรแล้ว ฉันจะไม่ตะโกนคุยกับเพื่อนบ้านแล้ว รวมทั้งฉันจะไม่ทำกับข้าว ฉันจะไม่ร้องเพลง ฉันจะไม่หัวเราะด้วย ฯลฯ

พ่อบ้านก็บอกว่า ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น ฉันเพียงแต่บอกว่า ฉันทำช่องไว้รอบบ้านให้เธอแล้ว ขอเพียงอย่าเปิดกระเบื้องตะโกนกันเท่านั้นได้ไหม

แม่บ้าน (รู้ตัวว่าพ่อบ้านรัก) ก็เลยทำงอนต่ออีกเล็กน้อย กระฟัดกระเฟียตว่า ฮึ ฉันจะไม่ทำอะไรจนกว่าเธอบอกว่าต้องการฉันอยู่ แต่เธอรู้ไหมว่าทำไมฉันต้องเปิดกระเบื้องตะโกนคุยกัน เธอก็ไม่เคยถามฉันใช่ไหม....ฉันจะบอกให้นะว่า ที่ฉันทำอย่างนั้น เพราะว่า ฉันเหงา ที่ทำงานของฉันมันเล็กๆ คุยกันไม่กี่เรื่อง แต่ในหมู่บ้านเรานี้ มีเรื่องสนุกๆ มากมาย ที่ฉันทำอย่างนั้นทำให้ฉันได้เจอโลกใหม่ เวลาเปิดช่องเล็กๆ ก็สนุกดีแต่ฉันไม่เห็นทั้งหมด ฉันไม่เห็นฟ้า และที่สำคัญ ฉันไม่เห็นเธอตอนที่เธอเดินไปทำงานและกลับมา.... เธอรู้ไหมว่า การหัวเราะนั้นยิ่งมีคนหัวเราะด้วยมันทำให้ฉันรู้สึกสนุก อยากฝึกทำกับข้าวอร่อย ไว้ให้เธอ อยากร้องเพลงเพราะๆให้เธอฟัง...และอยากให้เธออารมณ์ดีเพื่อที่จะทำงานทุกๆวันอย่างมีความสุข"

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า....คนรักกันงอนกัน ใช่ไหมคะ ท่านครูบาขา....อิอิ

http://gotoknow.org/blog/bmchaiwut/156134 จางจื้อ พุทธทำนายและคนชายขอบ

27 ธค 2550

นมัสการพระคุณเจ้า

คำว่าคนชายขอบในภาษาไทย เข้าใจว่าแปลกันมาจากภาษาอังกฤษของคำว่า marginalize คำนี้หมายถึงกลุ่มคนที่อยู่วงนอกของประโยชน์ต่างๆที่คนส่วนใหญ่ได้รับ โดยมีแนวคิดว่ากลุ่มนี้ถูกกดไว้ (oppress ) จากคนที่มีอำนาจกว่า บนฐานของตะวันตกที่มองกลุ่มของชนชั้นกลางกับกลุ่มใช้แรงงานที่ยืนบนฐานเดียวกันหรือแนวระนาบแต่กลุ่มนี้แทบจะตกขอบกระด้งในทุกเรื่องเช่นการศึกษา การรักษาพยาบาลฯลฯ   ต่อมามีการนำไปใช้มากขึ้นเช่นระหว่างหญิงและชาย ระหว่างคนผิวสีดำกับคนขาว ระหว่างพวก white collar และ blue collar และบางครั้งก็ตีความขยายหมายถึงกลุ่มที่ขาดโอกาสแม้อยู่ในสถานะเดียวกัน เช่นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารทำให้ได้หรือเสียโอกาสต่างกัน คำว่า คนชายขอบจึงไม่ได้หมายถึงคนในชนบทค่ะ

คำๆนี้จะเหมาะในแนวคิดของตะวันออกของไทยไหม..ดิฉันไม่ค่อยจะแน่ใจนัก เพราะสังคมไทยแต่อดีตไม่ได้มองว่าทุกคนยืนระนาบเดียวกัน มีความเป็นชั้นเชิง ด้วยคุณวุฒิ วัยวุฒิ ลฯ มาแต่แรก และสังคมในอดีตเราไม่มีคนเร่ร่อนไร้ที่อยู่เพราะทุกๆคนก็ล้วนมีที่ทำกินไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง และวิถีตะวันออกที่ไม่มีการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นหรือไปเบียดให้ผู้อื่นตกขอบกระด้งเพราะเกรงบาป แต่มุ่งพัฒนาระดับความสามารถของตัวเอง มีภาวนาเป็นต้น เรามองความเสมอภาคที่ กรรมดี กรรมเลว ในตัวบุคคล และมีเชิงประจักษ์ที่มรณังกันทุกคน

การก่อม๊อบ การเรียกร้องอย่างรุนแรงด้วยการยกประเด็นว่าตนเองเป็นคนชายขอบ เป็นวิถีตะวันตกล้วนๆค่ะ และน่าแปลกใจที่คนมีที่ทำกินเช่นมีไร่ ขับรถอีแต๋น ที่ไม่ทราบคำๆ นี้ แต่ถูกนักจัดตั้งการเรียกร้องนำมาใช้ประโยชน์ ให้เรียกร้องมากกว่า และมากขึ้น สามารถทำได้และเรียกร้องสำเร็จเกือบทุกครั้ง....อาจจะเป็นเพราะว่าการเรียกร้องรุนแรงที่ไม่ใช่วิถีตะวันออก สร้างความตระหนกให้กับคนไทยเมืองไทยจึงมีนักเรียกร้องและนักจัดตั้งการเรียกร้องที่อ้างความเป็นคนชายขอบ เพียงเพราะอยู่ในชนบทเท่านั้น.

.นี่คือสิ่งที่ดิฉันมองเห็นความแตกต่างและการหยิบยก "คำ" ที่มีการเปลี่ยงแปลงของความหมายได้มาใช้ประโยชน์ในรูปแบบของไทยค่ะ

กราบพระอาจารย์ค่ะ...

28 ธค 2550

นมัสการพระคุณเจ้า

ก็คิดว่า คงเป็นคำ Racism ค่ะ

ส่วนที่คุณขำ และคุณ वीर  ถามนั้นเข้าใจว่า ท่านมีคำตอบในใจอยู่แล้ว...ขอถือโอกาสรับทราบความคิดจากท่านทั้งสองเลยดีกว่าค่ะ.....ขอบคุณค่ะ

กราบพระอาจารย์

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #เก็บอารมณ์
หมายเลขบันทึก: 156432เขียนเมื่อ 28 ธันวาคม 2007 18:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 02:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท