ประวัติศาสตร์พม่ากล่าวไว้ว่าประเทศพม่านั้นเคยปกครองด้วยระบอบกษัตริย์มานับแต่ยุคโบราณเป็นพันๆปี แต่
การยึดติดในลัทธิและเผ่าพันธุ์ :
ต้นเหตุของความรุนแรงในสหภาพพม่า
ประวัติศาสตร์พม่ากล่าวไว้ว่าประเทศพม่านั้นเคยปกครองด้วยระบอบกษัตริย์มานับแต่ยุคโบราณเป็นพันๆปี
แต่ในยุคประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นยุคแห่งการสร้างอาณาจักรนั้น
พม่าถือว่าพระเจ้าอโนรธาเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรเมียนมา
โดยชนชาติพม่าได้เริ่มสร้างความเป็นปึกแผ่นให้ปรากฏชัดในคราแรกเมื่อปี
ค.ศ. ๑๐๔๔
จากนั้นราชอาณาจักรเมียนมาได้ผ่านกาลเวลาที่ต้องประสบทั้งความรุ่งเรืองและความเสื่อมถอยเป็นระยะ
สิ่งบ่งชี้ถึงความรุ่งเรืองของอาณาจักรเมียนมาในยุคนั้นคือความมีสันติภาพ
ความมีเอกภาพ และความมีแสนยานุภาพ
ส่วนสิ่งบ่งชี้ถึงความเสื่อมถอยก็คือการไร้ในข้อดังกล่าว
พม่ามองว่าการที่ราชอาณาจักรพม่าดำรงอยู่ได้เป็นเวลายาวนานนั้น
ก็เนื่องเพราะวีรบุรุษของชาวพม่าสามารถสยบภัยในแผ่นดินและสามารถป้องปราบภัยจากภายนอกไว้ได้
แต่กระนั้น
ในที่สุดราชอาณาจักรเมียนมาก็ต้องถึงกาลต้องสิ้นสถาบันกษัตริย์และสิ้นอธิปไตยในปี
ค.ศ. ๑๘๘๕
เจ้าอาณานิคมอังกฤษได้เข้ามาล้มเลิกระบบการปกครองเดิมของพม่าและครอบครองแผ่นดินเมียนมาอย่างเบ็ดเสร็จ
พม่าถือว่าแม้จะสิ้นอาณาจักรของตนที่เคยสร้างไว้ในยุคราชวงศ์ไปแล้วก็ตาม
แต่ก็ถือว่ายุคราชวงศ์ซึ่งกินเวลากว่า ๘๐๐ ปี
ภายใต้ความคุ้มครองแห่งเศวตฉัตรนั้น
เป็นยุคแห่งการสร้างชาติและการสั่งสมอารยธรรมของชาวเมียนมา
โดยแทบมิมีกลิ่นไอจากความแตกแยกในลัทธิและเผ่าพันธุ์
ในสายตาของพม่า
เจ้าอาณานิคมอังกฤษมิได้จงใจนำความผาสุขมาสู่แผ่นดินเมียนมา
หากแต่เจ้าอาณานิคมได้นำระบบทุนนิยมผูกขาดเข้ามาใช้ตักตวงผลประโยชน์ไปจากแผ่นดินของตน
อังกฤษได้ทำให้ชาวพม่าซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดินกลายเป็นคนที่ด้อยโอกาสในเกือบทุกด้าน
ไม่ว่าจะในด้านการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม
โดยเฉพาะวัฒนธรรมพม่าถูกละเลย
ชาวพม่าถูกจำกัดโอกาสทางการศึกษาและอาชีพ
อีกทั้งอังกฤษยังได้สร้างความแตกแยกทางชนชาติ
จนเกิดเป็นปัญหาสงครามกลางเมืองระหว่างชนต่างเผ่า
ซึ่งเป็นปัญหาตกค้างมาจนถึงปัจจุบัน เคยมีคำกล่าวว่า
“ก่อนที่พวกขยายดินแดนจะกลับคืนแผ่นดินตน
ยังได้สาดทรายลงบนชิ้นเนื้อที่ตนไม่กินแล้ว”
ชิ้นเนื้อเปื้อนทรายที่ว่านั้นก็คือเอกราชที่พม่าได้รับ
ชาวพม่าทั้งประเทศจึงไม่อาจได้ลิ้มรสแห่งเอกราชที่กว่าจะได้มาแสนยากนั้นอย่างมีความสุข
นอกจากนี้ระบบการเมืองแบบทุนนิยมที่เป็นมรดกสืบทอดจากเจ้าอาณานิคมได้เข้าแทรกปนอยู่ในระบบสังคมนิยมที่เป็นแนวทางหลักของกลุ่มการเมืองในการต่อต้านเจ้าอาณานิคมมาแต่แรก
จนเกิดความแตกแยกทางลัทธิเป็นฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย
และที่สุดได้เอนเอียงสู่วิถีการแก่งแย่งผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มนักการเมือง
ทั้งที่เคยร่วมในลัทธิและต่างลัทธิ
ด้วยเหตุนี้แนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยวิถีทางการเมืองจึงมิอาจเยียวยาปัญหาความไร้เอกภาพของชาติในขณะนั้นได้
รากเหง้าของปัญหาในแผ่นดินเมียนมาในช่วงแรกที่ได้เอกราชใหม่ๆนั้น
(ค.ศ. ๑๙๔๘–๑๙๖๒) จึงถูกมองว่ามี ๒ เรื่องสำคัญ คือ
การยึดติดในเผ่าพันธุ์ และ การยึดติดในลัทธิ
สำหรับการยึดติดในเผ่าพันธุ์นั้น
พม่าจะอ้างว่าเกิดจากวิธีการปกครองโดยเจ้าอาณานิคมอังกฤษ
ที่เรียกว่าแบบ Divide and Rule
ระบบนี้ถูกมองว่าเป็นการแบ่งแยกเอาใจชนกลุ่มน้อยและกดขี่ชนชาติพม่า
โดยเฉพาะกลุ่มกะเหรี่ยงมักถูกประณามว่าเป็น
สมุนรับใช้พวกขยายดินแดน และเป็น
ไม้เท้าให้กับเจ้าอาณานิคม
อังกฤษให้การสนับสนุนกะเหรี่ยงในด้านการศึกษา อาชีพ
และยังสนับสนุนให้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ยังพื้นที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ทางตอนล่าง
อีกทั้งมีการชักชวนชาวกะเหรี่ยงตลอดจนคนบนพื้นที่สูงให้หันไปนับถือศาสนาคริสต์
ทั้งนี้เพราะอังกฤษไม่สามารถเผยแผ่ศาสนาของตนในพื้นที่ราบได้
ด้วยชนส่วนใหญ่ในพื้นที่เหล่านี้เป็นชาวพม่าที่ส่วนมากดำเนินชีวิตตามวิถีทางพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด
ดังนั้นอังกฤษจึงขึ้นไปเผยแผ่ศาสนาของตนกับคนในพื้นที่ดงดอย เช่น
ในเขตของกะฉิ่น ฉิ่น และกะเหรี่ยง เป็นต้น
นอกจากนี้อังกฤษยังได้ปลูกฝัง ความรู้สึกเกลียดชังพม่า
ขึ้นมา
ดังนั้นความชิงชังกันระหว่างเผ่าพันธุ์ที่อังกฤษก่อขึ้นจึงได้กลายเป็นชนวนก่อให้เกิดการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนมานับแต่สหภาพพม่าได้เอกราช
ส่วนการยึดติดในลัทธินั้น ในยุคนั้นลัทธิการเมืองที่เข้ามามีบทบาท
ได้แก่ ลัทธิสังคมนิยม ลัทธิคอมมิวนิสต์ และลัทธิทุนนิยมแบบอาณานิคม
ฝ่ายพม่ากล่าวว่าในช่วงของการต่อสู้ขับไล่ฟาสซิสต์ญี่ปุ่นและการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษนั้น
ทุกฝ่ายลัทธิต่างพยายามประนีประนอมกันเพื่อต่อสู้กับกองกำลังฟาสซิสต์และเรียกร้องเอกราชจากเจ้าอาณานิคม
แต่พอได้รับเอกราชแล้วต่างฝ่ายกลับหันมาแย่งชิงอำนาจทางการเมือง
กลุ่มคอมมิวนิสต์แยกตัวไปต่อสู้ในป่า กลุ่มสังคมนิยมกลับอ่อนด้อยในสภา
ส่วนกลุ่มทุนนิยมได้อำนาจชี้นำในรัฐบาลขณะนั้น
พรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลคือพรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์ซึ่งมีอูนุเป็นผู้นำ
อันที่จริงพรรคการเมืองพรรคนี้ก่อตั้งโดยนายพลอองซาน
และเป็นพรรคที่มีแนวคิดทางสังคมนิยมมาก่อน
แต่ด้วยมีความแตกแยกภายในพรรค
จึงได้เกิดการเอนเอียงออกจากวิถีสังคมนิยม
ผู้นำหันมาสนใจในอำนาจและเอื้อประโยชน์เฉพาะกับพวกพ้อง
การต่อสู้ทางการเมืองในระบบพรรคจึงถูกวิจารณ์ว่าเป็นระบบที่มิได้มีเป้าหมายเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
และพอเกิดความอ่อนแอในพรรคก็หันไปใช้อุบายทางการเมืองในการเรียกร้องคะแนนเสียง
อาทิ การให้สัญญาว่าจะให้อิสระทางการปกครองต่อกลุ่มแบ่งแยกดินแดน
และการให้สัญญาว่าจะกำหนดให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
ดังนั้นการต่อสู้ในทางการเมืองจึงยิ่งซ้ำเติมปัญหาความไร้เอกภาพ
นักการเมืองในยุคนั้นจึงถูกกล่าวหาว่าเล่นการเมืองเพียงเพื่อสนองตัณหาตน
โดยมิได้คำนึงถึงความอยู่รอดของประเทศ
ในสมัยแรกที่พม่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบหลายพรรคนั้น
(ค.ศ.๑๙๔๘–๑๙๖๒)
สหภาพพม่ามีปัญหาทั้งเรื่องเอกภาพระหว่างชนเผ่าและระหว่างกลุ่มลัทธิทางการเมือง
มีการต่อสู้ของผู้ก่อการร้ายที่เรียกร้องอิสระทางการเมืองและการปกครอง
และยังมีการแตกแยกระหว่างกลุ่มนักการเมืองภายในพรรครัฐบาล
รัฐบาลอูนุไม่สามารถให้ความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาของชาติได้
นายพลเนวินจึงได้รับเชิญให้มารับหน้าที่นายกรัฐมนตรีเป็นกาลชั่วคราวเพื่อแก้ไขเหตุการณ์ร้ายให้ผ่านพ้น
เหตุนี้กองทัพพม่าซึ่งนำโดยนายพลเนวินจึงถูกมองว่าเป็นอัศวินที่เข้ามาช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์อันเลวร้ายให้คืนสู่ความสงบสันติ
ท้ายที่สุดประชาธิปไตยในระบบหลายพรรคที่ต่างฝ่ายต่างพยายามต่อสู้กันเพื่อแย่งอำนาจ
ได้ทำให้ระบอบประชาธิปไตยในพม่าถูกผลักไปอยู่ในตำนานเป็นเวลากว่า ๒๐
ปี (ค.ศ. ๑๙๖๒ - ๑๙๘๘) เพราะในปี ค.ศ. ๑๙๖๒
กองทัพพม่าได้ทำการรัฐประหาร แล้วนำระบบการปกครองแบบพรรคเดียวมาใช้
โดยเรียกการเมืองระบบนี้ว่า การเมืองของประชาชน
เพื่อให้ต่างจาก การเมืองของพรรค อย่างไรก็ตาม
พรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์ของนายกรัฐมนตรีอูนุในยุคทดสอบประชาธิปไตยสมัยเดียวของพม่า
และพรรคแนวทางสังคมนิยมของรัฐบาลทหารโดยนายพลเนวินในยุคทดสอบวิถีสังคมนิยมต่างก็ประสบกับความล้มเหลวทางการเมือง
กระนั้นพม่ากลับอ้างว่าเป็นเพราะบรรดาผู้นำกลุ่มต่างๆในอดีตต่างไม่ลงรอยกัน
และมัวหลงยึดติดในลัทธิทางการเมืองและความแตกต่างในเผ่าพันธุ์
ด้วยเหตุผลดังกล่าวการปราบปรามด้วยวิธีรุนแรงจึงมิอาจจะเลี่ยงได้
วิรัช
นิยมธรรม