พุกามในความนึกคิดของชาวพม่าต่อแง่คิดทางการเมืองและข้อคิดแห่งธรรมะ
“นั่น…เมียนมาของเรา
นั่น…พุกามของเรา”
(mj…96bhe,oN,k mj…96bhx68")
“อันว่าพุกาม..ก็เมียนมาไง…เฮ่ ! ”
(x68"C6b9k e,oN,kxcgsH)
เป็นคำกล่าวที่สะท้อนความภาคภูมิใจของชาวพม่า
โดยโยงเอาความยิ่งใหญ่ของเมืองพุกามหรือปะกัง(x68")ในอดีตมายืนยันความเป็นเมียนมา(e,oN,k)ในปัจจุบัน
พุกามจึงถือเป็นหน่อกำเนิดของเมียนมา
อันหมายถึงประเทศและประชากรหลายเผ่าพันธุ์
ซึ่งมีพม่า(r,k)เป็นชนส่วนใหญ่และอยู่ร่วมดินกินร่วมน้ำกับชนส่วนน้อยอื่นๆ
อันได้แก่ ฉาน ฉิ่น กะฉิ่น มอญ ยะไข่ กะเหรี่ยง และคะยา
เป็นอาทิ
นอกจากนี้ พุกามยังถูกกำหนดให้เป็นศักดิ์ศรีของชาวเมียนมา
เพราะพุกามเป็นเมืองราชธานีโบราณที่ยืนยันการมีอารยธรรมของชาวเมียนมาเมื่อร่วมพันปีก่อน
อีกทั้งเชื่อว่าวรรณคดีพม่าและวัฒนธรรมพุทธของชาวเมียนมาต่างเจริญงอกงามมาแต่พุกาม
พุกามจึงอยู่ในฐานะมรดกของชาติที่บ่งบอกความรุ่งเรืองทั้งในทางอาณาจักรและศาสนจักรเมื่อครั้งอดีต
ดังในแบบเรียนอ่านภาษาเมียนมา ของชั้นประถมศึกษา เกรด ๓ หน้า ๗๙
(๑๙๙๔) ได้กล่าวถึงพุกามไว้ว่า..
“มหานครพุกามในสมัยก่อนนั้นเจริญรุ่งเรืองมาก เหล่ากษัตราธิราช อาทิ
อโนรธา จันสิตตา
และอลองซีตูได้สร้างราชวังในมหานครพุกามและสร้างอาณาจักรจนรุ่งเรือง
ดังมีคำกล่าวที่สะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองของมหานครเมียนมาในยุคโบราณ
อาทิ “เก้าเก้าร่วม รวมเรือนพุกาม” หมายถึง
ในนครพุกามมีจำนวนบ้านเรือนถึง ๙๙๙,๙๙๙,๙๙๙ หลังคาเรือน คำกล่าว่า
“โญโญญังญัง เส็งฆ้องก้อง” หมายถึงว่านครพุกามมีฆ้องทั้งหมด ๓,๓๓๓ ใบ
และคำกล่าวที่ว่า “เสียงเพลาล้อ ตะหญั่งหญั่ง ผองพุกามเจดีย์”
มีนัยว่าเจดีย์ทั้งหมดในพุกามมีจำนวน ๔,๔๔๖,๗๓๓ องค์”
แบบเรียนพม่าได้ให้ภาพพุกามด้วยกลอักษรเผยจำนวนประชากรและพุทธเจดีย์ไว้อย่างสุดคณานับ
เป็นการสร้างจินตภาพให้พุกามเป็นแผ่นดินอันอัศจรรย์
ซึ่งช่วยปลุกศรัทธาให้ชาวพุทธพม่ามีความผูกพันต่อพุทธศาสนาอย่างมิรู้คลาย
อย่างไรก็ตาม คาดกันว่าจำนวนเจดีย์ทั้งหมดในพุกามคงมีประมาณ ๕,๐๐๐
องค์ และจากการสำรวจพบว่ามี ๒,๒๑๗
องค์ที่ยังคงสภาพหรือมีร่องรอยให้เห็นในอาณาบริเวณราว ๔๒
ตารางกิโลเมตรของเขตเมืองพุกามนั้น พระเจดีย์สำคัญของพุกาม ได้แก่
อนันดา สัพพัญญู ชเวกูจี คอเด๊าะปะลีง ธัมมะยังจี มหาโพธิ จุฬามณี
และทีโลมีงโล เป็นอาทิ
ย้อนไปในสมัยที่พม่าได้เอกราชใหม่ๆ
พุกามเคยถูกใช้เป็นพลังรากฐานในการจรรโลงวัฒนธรรมของชาวเมียนมา
ดังคำกล่าวของนักเขียนพม่านาม มีงตุวัณ (,'Ntl6;IN
,x68"exPN,ak90Ngoh9k,๑๙๕๔) ที่ว่า ….
“อาณาจักรพุกามเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งของวัฒนธรรมเมียนมา ปราสาทราชวัง
วัดวาอาราม และช่อฟ้าแห่งสมัยปีงยะ อังวะ ตองอู หงสาวดี
และคองบองต่างมีพุกามเป็นฐานราก แต่ในเพลานี้
สิ่งเหล่านั้นกลับเลือนหาย เหตุเพราะฉัตรหัก กลองแตก
และบ้านเมืองระส่ำระสาย
กระนั้นจนบัดนี้รากฐานทางวัฒนธรรมพุกามกลับยืนหยัดกว่าพันปี เหตุนี้
จึงควรที่จะอาศัยพุกามเป็นรากฐานเพื่อสร้างพลังทางวัฒนธรรมเมียนมาของเราให้หวนคืน”
พุกามยังถูกอ้างให้เป็นแบบอย่างความรุ่งเรือง
ตลอดจนเป็นแม่แบบของสังคมอุดมคติ และอุดมการณ์ทางการเมือง อาทิ
งานเขียนชิ้นหนึ่งในสมัยสังคมนิยม(x68",๑๙๖๕)
ได้กล่าวยกย่องพุกามไว้ว่า….
“พุกามเป็นยุคสมัยดุจคบเพลิงส่องเกียรติยศของชาวเมียนมา ในสมัยนั้น
เมียนมารุ่งเรืองในวรรณคดี และโดดเด่นในศิลปะ อาทิ จิตรกรรม คีตศิลป์
งานสลัก งานปูนปั้น เป็นต้น ในสมัยพุกามวัฒนธรรมมีความไพบูลย์
ชนชั้นชาวนาและกรรมกรเกิดขึ้นอย่างมั่นคงและเป็นระบบ นอกจากนี้
ในสมัยนั้นยังสื่อแบบอย่างของความสามัคคี สมานฉันท์
และการพัฒนาในด้านต่างๆ …
อาจกล่าวสรรเสริญแบบอย่างเหล่านั้นด้วยหลักฐาน
แล้วยกย่องให้จดจำไว้ว่า พุกามให้พลังแก่ชาวเมียนมา
พุกามให้จิตใจแก่ชาวเมียนมา พุกามให้มานะแก่ชาวเมียนมา
และพุกามให้ศักดิ์ศรีแก่ชาวเมียนมา”
นอกจากนี้
พุกามยังถูกนำมาเป็นแบบอย่างของการตีความให้เข้ากับหลักธรรมทางพุทธศาสนา
งานเขียนเกี่ยวกับพุกามที่มุ่งให้สาระดังกล่าวมีอยู่ไม่น้อย
ในที่นี้จะขอยกมาเป็นตัวอย่างเพียง ๑ เรื่อง คือ “พุกามแห่งเมียนมา”
(e,oN,kx68",๒๐๐๒) งานชิ้นนี้เป็นหนังสือสารคดีนำเที่ยวพุกาม เขียนโดย
อูกองตั้ง ผู้เขียนสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยการศึกษา
และได้เคยเรียนวิชาการสอนประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งนี้
เมื่อเขาเริ่มอาชีพครู
เขาได้มีโอกาสสอนประวัติศาสตร์พม่าอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาได้เป็นนักเขียน
อูกองตั้งได้ใช้ประสบการณ์จากการเป็นครูสอนประวัติศาสตร์มาเขียนสารคดีนำเที่ยวพุกาม
โดยสอดแทรกแนวคิดเรื่องความรักชาติและเสนอวิธีคิดแบบชาวพุทธต่อประวัติศาสตร์ของตน
ทำให้พุกามมิใช่เพียงสถานที่ท่องเที่ยวหรือที่แสวงบุญอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ
หากแต่พุกามยังเป็นร่องรอยอดีตที่มีพลังต่อการถ่ายทอดให้ชาวเมียนมาซึมซับในหลักธรรมอันจะนำมาสู่ความรักชาติเป็นที่สุด
ดังจะขอกล่าวในบางประเด็นดังนี้
อูกองตั้งกล่าวว่าพุกามสอนเรื่องมนุษยสมบัติ
ชาวพม่าจึงมีลักษณะนิสัยรักการปรนนิบัติ เป็นมิตร เกื้อกูล รู้คุณ
รักเผ่าพันธุ์ และยึดมั่นในศาสนา
นอกจากนี้พุกามยังให้แบบอย่างของการสนองคุณผู้มีพระคุณ
การยอมถวายชีวิตเพื่อผู้เป็นนาย
การเสียสละหยาดเหงื่อและชีวิตเพื่อสร้างอาณาจักร
และการรักษาพงศ์พันธุ์เพื่อส่วนรวม(มองความรักเป็นปัจเจก
แต่ไม่ควรต้องร่วมชีวิตหากกระทบต่อศาสนา) เป็นต้น
เขายืนยันว่าคุณสมบัติเช่นว่านี้พบได้ในเรื่องราวของเมืองพุกาม
ในแง่ของสภาวธรรม ผู้เขียนให้ทัศนะว่า โลภะ โทสะ โมหะ และมานะ
คือภาวะที่กำหนดความเป็นไปของประวัติศาสตร์
พุกามจึงมิเพียงสะท้อนภาพอันรุ่งโรจน์เพียงด้านเดียว
แต่ก็ปนเปื้อนด้วยความเสื่อมทรามในบางขณะ หากมองในด้านที่งดงาม
จะดูจากคุณความดีของวีรบุรุษ อาทิ
ปยูซอทีคือผู้กล้าหาญและรู้คุณครูอาจารย์
อโนรธาคือนักปฏิรูปที่มีวิสัยทัศน์ จันสิตตาคือผู้สร้างความสามัคคี
เจ้าชายราชกุมารคือผู้มีมุทิตาต่อผู้อื่นและมีกตัญญุตาต่อพระราชบิดา
และในสมัยทีโลมีงโลบ้านเมืองปกครองโดยธรรม พุกามจึงร่มเย็น
ฝนตกต้องตามฤดูกาล มีความรุ่งเรือง
อีกทั้งพระองค์มิได้ผูกขาดอำนาจเบ็ดเสร็จ จึงเป็นที่รักของประชาชน
แต่ในด้านเสื่อมนั้น
ผู้เขียนกล่าวว่ากษัตริย์พม่าบางองค์ได้ทำลายความงดงามของประวัติศาสตร์เมียนมา
เช่น การกระทำปิตุฆาตเพื่อช่วงชิงราชบัลลังก์โดยนรสู
การก่อความเดือนร้อนต่อราษฎรอย่างนรปตีซีตูที่สั่งให้เกณฑ์คนมากมายมาสร้างเจดีย์จุฬามณี
อูกองตั้งเห็นว่าแม้กษัตริย์บางองค์จะก่อกรรมไว้มาก
แต่เมื่อได้สร้างเจดีย์อันยิ่งใหญ่ให้คนรุ่นหลังกราบไหว้
ก็ยังนับว่าน่ายกย่อง
อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นเจดียทายก(46iktmjpdk)
เจดีย์จึงนับว่าช่วยให้ประวัติศาสตร์พม่ามีคำอธิบายแบบประโลมใจ
พุกามยังสอนเรื่องไตรลักษณ์ เช่น
สอนอนิจจังต่อความรุ่งโรจน์ของพุกามที่มีวันต้องสิ้นสูญ
ดังในสมัยนรสีหปเต๊ะ มีผู้ทำนายว่าหาก “เจดีย์เสร็จ แผ่นดินสูญ”
(46ikt]PNt wxutexPNWdut]PNtxydN) ได้สร้างความรวนเรจนเมื่อเห็นธรรม
หรือในคำประพันธ์ของอนันตสูริยะผู้ต้องราชภัยที่ว่า
การเสวยสุขในราชสมบัติเปรียบกับฟองสมุทรที่ลอยพ้นน้ำได้เพียงชั่วขณะ;
สอนให้มองชีวิตเป็นอนัตตา อาทิ แม้การต้องโทษประหาร
ก็ถือเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่จะต้องละสังขารในสักวัน
พร้อมกับแนะให้ละการจองเวร;
ผู้เขียนเห็นว่าพุกามเมื่อยามพลบค่ำนั้นช่วยสอนทุกขสัจจะ
เขากล่าวว่ายามตะวันลับฟ้านั้นเปรียบได้กับความไม่คงทนของสรรพชีวิตที่มีวันต้องลับโลก
พุกามยังให้คุณค่าต่ออิสรภาพของชาติและมิตรภาพระหว่างรัฐ
ดังกรณีพระเจ้ามนูหากษัตริย์มอญแห่งเมืองสะเทิม
ผู้เขียนกล่าวว่าพระองค์มีมานะจึงได้สร้างเจดีย์มนูหาที่ให้ความอึดอัดด้านใน
เสมือนจะแสดงภาวะที่ต้องตกอยู่ใต้อำนาจของผู้อื่น
ผู้เขียนจึงชี้ให้เห็นคุณค่าของอิสรภาพ
และยังกล่าวอีกว่าการที่พุกามเจริญรุ่งเรืองมาได้ก็ด้วยการยกทัพไปตีเมืองสะเทิม
สำหรับชาวพุกามแล้วควรถือเป็นการทำสงครามที่สมเหตุสมผล
และยังมองว่าหากพระเจ้ามนูหาปรารถนาจะให้พระศาสนาเผยแผ่แท้จริงแล้ว
ก็มิควรต้องให้เกิดศึกสงคราม
มิซ้ำสองฝ่ายอาจเป็นมิตรประเทศที่ช่วยเหลือกันในศึกภายหน้า
อูกองตั้งยังได้ให้ทัศนะต่อชาวพม่าทั่วไปไว้ว่า สำหรับบางคนนั้น
การได้ไหว้เจดีย์อาจช่วยละโลภ โกรธ หลง คลายความโศกเศร้า
ยิ่งหากรู้ถึงตำนานเจดีย์และเฝ้าดูธรรมชาติอันงดงามและสัมผัสสายลมยามเย็นก็จะยิ่งคุ้มค่า
แต่สำหรับบางคนนั้น
การไหว้เจดีย์คือการขอพรในระดับโลกียะซึ่งมีแบบอย่างมาแต่อดีต ดังเช่น
คำอธิษฐานของจันสิตตาที่ไม่ปรารถนาจะเห็นสงคราม
แต่ก็หวังจะขึ้นครองบัลลังก์อย่างไร้อุปสรรคและคลาดแคล้วจากภยันตราย
เมื่อพรสัมฤทธิ์ผล
พระองค์จึงได้สร้างเจดีย์อโลด่อปยิ(เจดีย์สมปรารถนา)เป็นอนุสรณ์แห่งความสำเร็จ
จากเรื่องในตำนานคู่พระเจดีย์องค์นี้กลับชี้ชวนให้ชาวบ้านนิยมมาขอลาภขอหวย
ณ เจดีย์แห่งนี้ดังจะพบเห็นได้ในปัจจุบัน
อันที่จริง ตำนานเกี่ยวกับพุกามบางเรื่องออกจะเป็นปรัมปรา
และมักเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ที่สัมพันธ์กับการสร้างพุทธเจดีย์
แต่ชาวพม่าก็นิยมเล่าขานสืบต่อให้คล้ายกับเป็นความจริงอันเร้นลับ
ส่วนฝ่ายที่ยึดหลักเหตุผลก็มักจะพยายามตีความเพื่อหาคำอธิบายให้สอดคล้องกับจารีตประเพณี
หลักธรรม หรือแนวคิดทางการเมืองอันเป็นกระแสหลักของพม่า
แต่หากมีทัศนะที่แย้งต่อประวัติศาสตร์กระแสหลัก
ก็มักจะมองว่าเป็นความคิดของคนต่างชาติต่างศาสนาที่มักตีความประวัติศาสตร์พม่าผิดๆด้วยขาดความลึกซึ้งต่อพุทธศาสนา
ตำนานอันหลากหลายที่มีพุกามเป็นฉากหลังจึงได้รับการตีความจนเป็นคตินิยมของชาวพม่าดังที่ยกมาเป็นตัวอย่าง
โดยสรุป อูกองตั้ง เขียน “พุกามแห่งเมียนมา”
โดยมองประวัติศาสตร์บนฐานคิดของพุทธศาสนาที่ตนศรัทธาและให้ค่าไว้สูงยิ่ง
จึงได้เสนอข้อคิดให้ชาวพม่ารู้สึกเทิดทูนมรดกทางวัฒนธรรมของชาวเมียนมา
เพื่อให้มีสำนึกที่จะรักษาศาสนา ภาษา เผ่าพันธุ์ และประเพณีของชาติตน
และด้วยพุทธศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของชาติ
จึงให้ความสำคัญต่อสำนึกในหน้าที่ตอบแทนและปกป้องประเทศชาติเพื่อพิทักษ์แผ่นดินพุทธศาสนา
ท้ายสุดคือให้บังเกิดความปิติยินดีที่เกิดเป็นชาวเมียนมาและเป็นชาวพุทธ
พุกามของอูกองตั้งจึงมีกลิ่นไอของธรรมะอันงดงามตรึงใจ
แต่ก็แฝงแนวคิดทางการเมืองแบบชาตินิยมตามแนวทางของรัฐบาลพม่าไว้อย่างลงตัว
วิรัช
นิยมธรรม