สหภาพพม่าในยุคหลังจากการที่ได้รับเอกราชคืนมานั้น ถือเป็นยุคแห่งการทดลองระบอบประชาธิปไตย มีระยะเวลานานประมาณ ๑๔ ปี
ประวัติศาสตร์พม่าสมัยเอกราช
สหภาพพม่าในยุคหลังจากการที่ได้รับเอกราชคืนมานั้น
ถือเป็นยุคแห่งการทดลองระบอบประชาธิปไตย มีระยะเวลานานประมาณ ๑๔ ปี
คือในช่วงปี ค.ศ. ๑๙๔๘ ถึง ๑๙๖๒
ในสมัยนี้อาจจำแนกรัฐบาลที่ปกครองได้เป็น ๓ ช่วงรัฐบาล คือ
รัฐบาลสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์ที่นำโดยอูนุ
รัฐบาลรักษาการที่นำโดยนายพลเนวิน
และรัฐบาลสหภาพที่อูนุได้กลับมาเป็นผู้นำอีกครั้ง
แบบเรียนประวัติศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นปีที่ ๑๐ (มัธยมปลาย)
ได้ให้รายละเอียดไว้ดังนี้
(๑)
รัฐบาลสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิส์(ค.ศ.๑๘๔๘–๑๙๕๘)
ประเทศเมียนมากลับมาเป็นประเทศเอกราชในวันที่ ๔ มกราคม ๑๙๔๘ เป็นต้นมา
และจากการที่คณะรัฐบาลในระหว่างปี ๑๙๔๘ ถึง ๑๙๕๘
นั้นมีพรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์
(zdNC0NCoNhdy'NgitexPNl^h]:9N]xNgitvz:ch หรือเรียกโดยย่อว่า zCx]
) เป็นแกนนำ
จึงได้เรียกสมัยการปกครองในช่วงนี้ว่าสมัยรัฐบาลเอกราชต่อต้านฟาสซิสต์
(zCx]g-9N)
ตามรัฐธรรมนูญการปกครองในช่วงนั้น
จะต้องให้จัดมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาทุก ๔ ปี
จากการเลือกตั้งสมาชิกสภาในปี ๑๙๕๒ และ ๑๙๕๖ นั้น
พรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์ได้รับเลือกมากที่สุด
จึงได้ตั้งรัฐบาลเอกราชต่อต้านฟาสซิสต์ขึ้น
แต่จากการที่พรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์ประกอบด้วยสมาชิกพรรคที่มีแนวคิดหลากหลายทางการเมือง
อาทิ คอมมิวนิสต์ สังคมนิยม และกลุ่มทหารเพื่อประชาชน
(exPNl^hicg4kN) เป็นอาทิ
ท้ายสุดได้ส่งผลให้เกิดความแตกแยก
ในสมัยรัฐบาลเอกราชต่อต้านฟาสซิสต์ได้เกิดการขบวนการก่อการร้ายขึ้นภายในประเทศ
กลุ่มก่อการร้ายในช่วงแรกคือคอมมิวนิสต์
ถึงแม้พวกคอมมิวนิสต์จะเข้าแทรกอยู่ในพรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์ก็ตาม
แต่ระดับผู้นำกลุ่มก็ยังมีความคิดไม่ลงรอยกัน กลุ่มของตะขิ่นโซ
(l-'N06bt) ที่ยึดแนวทางต่อสู่เพื่อเอกราชโดยใช้กำลัง
กับกลุ่มของตะขิ่นตานทูน(l-'NloNt5:oNt)
ที่เข้าร่วมกับพรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์ในการเรียกร้องเอกราชนั้น
ได้แตกแยกกันตั้งแต่เดือนมีนาคม ๑๙๔๖
แล้วทำให้เกิดเป็นพรรคคอมมิวนิสต์พม่าธงแดงที่นำโดยตะขิ่นโซ
กับพรรคคอมมิวนิสต์พม่าธงขาวที่นำโดยตะขิ่นตานทูน ในปี ๑๙๔๖
พรรคคอมมิวนิสต์ธงแดงเป็นกลุ่มแรกที่หนีเข้าป่าเพื่อดำเนินการก่อการร้าย
ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์ธงขาวยังคงเข้าร่วมกับพรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์ต่อไป
อย่างไรก็ตาม
เมื่อเหล่าผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์พม่าได้เข้าร่วมประชุมที่จัดขึ้นที่เมืองกัลกัตตาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
๑๙๔๘
ซึ่งมีมติยอมรับผลจากการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์สากลที่จัดขึ้นที่กรุงวอซอในปี
๑๙๔๗
ที่เห็นว่าแนวทางการต่อสู้เท่านั้นที่จะนำเอกราชคืนมาได้อย่างแท้จริง
คอมมิวนิสต์พม่าจึงได้หันมาต่อต้านพรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์แล้วหลบเข้าป่าในเดือนมีนาคม
๑๙๔๘ พวกคอมมิวนิสต์พม่าได้ยึดเปียงมะนา ไว้เป็นฐานปฏิบัติการ
แล้วเข้าโจมตีในพื้นที่พะโค ตองอู เมียงฉั่ง และพะสิม
มีการทำลายทางรถไฟ และกระทำการยึดเสบียงจากชาวบ้าน
และอีกไม่นานต่อมาได้ถอยไปจากตัวเมืองหันมาตั้งเป็นกองกำลังรบแบบกองโจร
กลุ่มทหารเพื่อประชาชนเป็นกำลังสำคัญที่สนับสนุนพรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์อย่างเป็นระบบในขณะเมื่อนายพลอองซานยังมีชีวิตอยู่
โดยตั้งเป็นกองกำลังถืออาวุธที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ในย่างกุ้งพร้อมกับจัดตั้งกองกำลังอยู่ทุกเมือง
บรรดาผู้นำของกลุ่มทหารเพื่อประชาชนต่างมีตำแหน่งเป็นสมาชิกสภา
แต่กระนั้นกลุ่มดังกล่าวกลับเอนเอียงไปทางฝ่ายซ้ายในเวลาต่อมา
แม้จะต้องมีการยุบกองทัพทหารเพื่อประชาชนในวันที่ ๔
มกราคมเมื่อได้รับเอกราชก็ตาม
แต่ด้วยตะขิ่นนุ(l-'NO6)ยอมผ่อนปรนจึงได้เลื่อนเวลาไปเป็นเดือนเมษายน
๑๙๔๘
กลุ่มทหารเพื่อประชาชนบางส่วนได้พยายามรวมตัวกันเพื่อตั้งกองกำลัง
ในขณะเดียวกันฝ่ายที่ต้องการเป็นนักการเมืองก็พยายามเข้าร่วมกับฝ่ายสังคมนิยมเพื่อตั้งเป็นกลุ่มพันธมิตรมารค์ซิสต์
(Marxist League)
บางส่วนมีความเห็นที่จะแยกตัวออกมาตั้งเป็นกลุ่มพันธมิตรอองซาน (Aung
San League) อย่างไรก็ตามความคิดดังกล่าวก็ล้มเลิกไป
ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ๑๙๔๘ กลุ่มทหารเพื่อประชาชนได้แตกออกเป็น ๒
ฝ่าย คือกลุ่มทหารขาว (icg4kNez&) และกลุ่มทหารเหลือง (icg4kN;j)
กลุ่มทหารเหลืองยอมรับข้อตกลง ๑๔ ข้อ จาก ๑๕ ข้อตามข้อตกลงสมานซ้าย
(]dN;cPuP:9Ngit) ของนายกรัฐมนตรีตะขิ่นนุ
แต่กลุ่มทหารขาวนั้นได้เชิญพวกคอมมิวนิสต์ที่หลบอยู่ในป่ามาปรึกษาและมีมติไม่ยอมรับข้อตกลงสมานซ้ายของนายกฯตะขิ่นนุ
กลุ่มทหารขาวนั้นนำโดย โบละหย่อง (r6b]N]gik'N) กับโบโพกูน
(r6b]Nz6btd:oNt) ส่วนกลุ่มทหารเหลืองมีโบมูอ่อง
(r6b]N,a&tgvk'N) กับโบเส่งหมั่ง (r6b]N0boN,aoN) เป็นผู้นำ
กลุ่มทหารขาวเริ่มปฏิบัติการต่อต้านรัฐบาลในเดือนกรกฎาคม ๑๙๔๘
ทำการยึดคลังหลวงและทรัพย์สินที่จะนำไปช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่เมืองพะสิม
มะอูปีง แปร และพะโค ในช่วง ๒ สัปดาห์ที่กลุ่มทหารขาวก่อกบฏนั้น
ทหารจากกองทัพบางส่วนได้หลบเข้าป่าไปด้วย
เหตุเพราะการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายคอมมิวนิสต์ในกองทัพ
พวกกะเหรี่ยงได้ก่อตั้งองค์กรกลางกะเหรี่ยง (di'Nrs6bvz:ch) หรือ KCO
(Karen Central
Organization)และเข้าร่วมกับพรรคสันนิบาตเอกราชต่อต้านฟาสซิสต์
อย่างไรก็ตาม นับจากปี ๑๙๔๗ ได้เกิดการแตกแยกภายในกลุ่ม KCO
จากนั้นมานบะข่าย(,oNt4-6b'N)และมานวีงหม่อง(,oNt;'Ntg,k'N
ภายหลังรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ ๓)ได้ตั้งองค์กรยุวชนกะเหรี่ยง
(di'N]^'pN,yktvz:ch) หรือ KYO (Karen Youth Organization)
และเข้าร่วมกับพรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์ต่อไป ต่อมาซอบะอูจี
(g0k4FtWdut) และกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ได้ตั้งองค์กรสหภาพชนชาติกะเหรี่ยง
หรือ KNU (Karen National Union)
แล้วได้ถอนตัวออกจากพรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์ KYO และ KNU
ต่างช่วงชิงกันในพื้นที่ ฝ่าย KNU คว่ำบาตรสภาประชาชน มีเฉพาะฝ่าย KYO
เท่านั้นที่ยังอยู่ในสภา นายกฯตะขิ่นนุก็ได้ทำตามที่ให้สัญญาไว้
จึงแต่งตั้งนายพลสมิทดูน (r6b]N-y7xN0,0Nm:oNt หรือ Smith Dun)
ซึ่งเป็นชาวกะเหรี่ยง เป็นผู้นำกองทัพ แต่กระนั้น KNU ก็ยังไม่พอใจ
กลับตั้งกองกำลังถืออาวุธ คือ KNDO (Karen National Defence
Organization)
พร้อมกับเรียกร้องที่จะตั้งรัฐกะเหรี่ยงโดยขอรวมพื้นที่มณฑลเอยาวดี
มณฑลตะนาวศรี จังหวัดตองอู จังหวัดหงสาวดี และอีงเซง
ให้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐกะเหรี่ยงด้วย
ในช่วงที่กลุ่มทหารเพื่อประชาชนปฏิบัติการในป่านั้น กองกำลัง KNDO
ได้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว และเริ่มก่อกบฏในเดือนกรกฎาคม ๑๙๔๘
และได้ต่อสู้กับรัฐบาลอย่างรุนแรงในช่วงเดือนธันวาคม ๑๙๔๘
ถึงเดือนมกราคม ๑๙๔๙ และในช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์ ๑๙๔๙ นั้น
กะเหรี่ยงที่อยู่ในกองตำรวจและทหารของรัฐบาลได้หันไปเข้ากับ KNDO
จากสถานการณ์นั้นรัฐบาลจึงปลดนายพลสมิทดูนและแต่งตั้งนายพลเนวิน(r6b]N-y7xNgo;'Nt)เข้ารับตำแหน่งแทน
และยังได้ปลดรัฐมนตรีที่เป็นกะเหรี่ยงออกจากคณะรัฐมนตรีอีก ๒
ตำแหน่ง ในช่วงแรกผู้ก่อการร้ายกะเหรี่ยงได้รับชัยชนะ
โดยสามารถยึดได้เมืองสำคัญ อาทิ เมมะโยะ มัณฑะเล
ตองอูและอีงเซงเป็นต้น แต่เมืองเหล่านั้นก็หลุดมือไปในภายหลัง
ในมณฑลตะนาวศรี กลุ่ม MNDO (Mon National Defence Organization)
ได้ก่อความไม่สงบ
มีชาวปะโอบางส่วนได้เข้าร่วมในการก่อความไม่สงบในครั้งนั้นด้วย
ส่วนในพื้นที่ยะไข่ก็มีกลุ่มมูจาฮิด
(Mujahid)ได้ก่อความไม่สงบขึ้นเช่นกัน
กลุ่มก่อการร้ายที่ร่วมก่อการในครั้งนี้
ถูกเรียกรวมว่ากบฏหลากสี(gik'N06"l^x6oN)
กระนั้นกลุ่มก่อการร้ายต่างฝ่ายต่างแยกก่อเหตุไม่สงบ
และท้ายที่สุดกบฏทั้งหลายก็ถูกรัฐบาลปราบปรามลงได้
นอกจากเกิดกบฏหลากสีในประเทศแล้ว ยังเกิดภัยจากภายนอกขึ้นอีก
คือการรุกรานของพวกจีนขาวก๊กมินตั๋ง (KMT = Kuomintang)
ที่เกิดขึ้นในปี ๑๙๔๙ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้อำนาจในประเทศจีน
และรัฐบาลก๊กมินตั๋งซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามได้ถอยหลบหนีไปยังเกาะไต้หวัน
กองกำลังก๊กมินตั๋งที่ตกค้างอยู่ในยูนนานได้รุกเข้ามาในแผ่นดินเมียนมาเมื่อปี
๑๙๕๐ ทัพก๊กมินตั๋งเหล่านั้นมีนายพล Li Mi เป็นผู้นำ
การรุกล้ำเข้ามาของก๊กมินตั๋งนี้สร้างปัญหาใหญ่ให้กับประเทศเมียนมา
รัฐบาลเมียนมาไม่อาจผลักดันกองกำลังดังกล่าวได้เต็มที่
เพราะยังต้องปราบปรามการก่อการร้ายภายในอยู่ ทหารก๊กมินตั๋งร่วม ๒
หมื่นคนได้รุกเข้าไปถึงเชียงตุง (dy7b'Nt96") และข่มเหงประชาชน
ในเดือนพฤษภาคม ๑๙๕๐ ยังเข้าตีเมืองจู่โก๊ะ (Ed&d69N)
ซึ่งอยู่ทางชายแดน
รัฐบาลเมียนมาได้ยื่นคำขาดให้กองกำลังก๊กมินตั๋งวางอาวุธมอบตัว หรือ
จะยอมให้ส่งตัวไปยังเกาะไต้หวัน
แต่ฝ่ายก๊กมินตั๋งกลับไม่ยอมรับแล้วยังปฏิบัติการสู้รบต่อไป ในช่วงปี
๑๙๕๐–๑๙๕๑ พวกก๊กมินตั๋งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
ส่วนทางไต้หวันนั้นก็ยังได้ให้ความช่วยเหลือด้านการฝึกทหาร อาวุธ
และเสบียง ดังนั้นในเดือนมกราคม ๑๙๕๒
รัฐบาลเมียนมาจึงได้ร้องเรียนกรณีการรุกล้ำของทัพก๊กมินตั๋งยังที่ประชุมทั่วไปของสหประชาชาติ
เมื่อปัญหากลับเลวร้ายลงในเดือนเมษายน ๑๙๕๓
รัฐบาลเมียนมาจึงได้ประณามการล่วงล้ำดังกล่าวในการประชุมสหประชาชาติอีกครั้ง
พร้อมกับเรียกร้องให้ยุติการรุกล้ำนั้น
แต่รัฐบาลอเมริกันคัดค้านข้อเรียกร้องดังกล่าว
ในที่สุดจึงเปลี่ยนจากการเรียกก๊กมินตั๋งเป็นกองกำลังต่างชาติถืออาวุธ
แต่ไม่ว่ารัฐบาลก๊กมินตั๋งที่เกาะไต้หวันจะไม่มีเจตนาที่จะถอนกองกำลังนั้นออกจากเมียนมา
หรือทั้งอเมริกันและไทยจะสนับสนุนให้ยุบกองกำลังดังกล่าวก็ตาม
กองทัพเมียนมาก็ได้ทำศึกกับฝ่ายก๊กมินตั๋งจนถึงที่สุด
จึงสามารถยุติกองกองกำลังในประเทศเมียนมาลงได้ในเดือนกันยายน
๑๙๕๓
พรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์ได้เอนเอียงจากแนวทางสังคมนิยมที่เคยมุ่งหมายไว้ในตอนแรก
พรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์กลับมุ่งมั่นแค่เพียงการคงอยู่ในอำนาจ
และมิได้กระทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน
ในช่วงใกล้เลือกตั้งได้ให้สัญญากับประชาชนต่างๆนานาเพื่อให้ได้คะแนนเสียง
แต่พอการเลือกตั้งจบลงและได้รับชัยชนะ กลับเฉยเมยต่อสัญญาที่เคยให้ไว้
และแทนที่จะดูแลประโยชน์สุขของประชาชนกลับใส่ใจเฉพาะผลประโยชน์ของตน
ในคณะรัฐบาลเองก็มีความประพฤติฉ้อฉล ไม่ลงรอยกัน
และใช้จ่ายเงินของรัฐอย่างไม่สมเหตุผล
กลไกการปกครองจึงพลอยเสียหายไปพร้อมกับการสูญเสียเงินของชาติ
จากการที่ให้โอกาสเฉพาะพ่อค้าที่สนับสนุนพรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์
และให้โอกาสพิเศษกับผู้นำพรรคและเจ้าของกิจการผู้ลงทุน
รูปลักษณ์การปกครองจึงเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อพวกนายทุน
ดังนั้นจึงเป็นการเหินห่างจากจุดมุ่งหมายที่จะก่อตั้งประเทศสังคมนิยม
และกลับไปให้ความสำคัญเฉพาะความผาสุขของคนเพียงกลุ่มเดียว
ในช่วงแรกของการได้เอกราชนั้น
พรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์เป็นพรรคการเมืองที่มีพลังมากที่สุด
แต่แม้จะจัดตั้งรัฐบาลได้ก็ตาม
แต่ภายหลังกลับมีความแตกแยกในระดับผู้นำพรรค
โดยเฉพาะในการประชุมพรรคครั้งที่ ๓ ในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์
๑๙๕๘ ความแตกแยกยิ่งมีความชัดเจนยิ่งขึ้น
เพราะความไม่ราบรื่นในเรื่องตัวบุคคลและกิจในพรรคดังมีมาก่อน
พอถึงปัญหาการมอบตำแหน่งเลขาธิการพรรคในเดือนเมษายน ๑๙๕๘
ได้ทำให้พรรคแตกออกเป็น ๒ ฝ่ายอย่างชัดเจน ในการแตกเป็น ๒ ฝ่ายนั้น
เรียกกลุ่มที่นำโดยอูนุ(FtO6)และตะขิ่นตี่งว่า กลุ่มนุ-ตี่ง
หรือกลุ่มสะอาด (loNhia'NtzCx])
และเรียกกลุ่มที่นำโดยอูบะส่วยและอูจ่อเยงว่า กลุ่มส่วย-เยง
หรือกลุ่มยืนหยัด (9PNw,czCx])
ทั้งสองฝ่ายพยายามที่จะมีอิทธิพลต่อคณะรัฐบาล
และแข่งขันชิงดีกันอย่างรุนแรง ในเดือนมิถุนายน ๑๙๕๘
รัฐบาลอูนุไม่ได้รับความไว้วางใจ
กลุ่มยืนหยัดจึงเสนอให้มีการประชุมวิสามัญเพื่อโหวดเสียง
หลังจากนับคะแนนกลุ่มสะอาดเป็นฝ่ายชนะ
เหตุแห่งชัยชนะเช่นนั้นเป็นด้วยเพราะกลุ่มสะอาดได้ให้คำมั่นสัญญาต่อกลุ่มชนชาติยะไข่สามัคคี
(i-6b'Nv,y7btlktPuL:9N) และกองกำลัง National United Front ( NUF
หรือ x,P9) จึงยังคงได้รับการสนับสนุน
จากนั้นอูนุได้ประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน
๑๙๕๘
การที่พรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์แตกเป็น ๒ ฝ่าย
ได้เป็นข่าวแพร่ไปทั่วประเทศ และต่างฝ่ายต่างก็โจมตีให้ร้ายกัน
กลุ่มสะอาดได้ออกคำสั่งอภัยโทษผู้หลบหนีเข้าป่าทุกคนในวันที่ ๑
สิงหาคม ๑๙๕๘ ซึ่งเป็นเกมส์การเมืองอย่างหนึ่งของกลุ่มสะอาด
ไม่เพียงเหล่าผู้ก่อการร้ายที่ได้รับอภัยโทษแต่ยังรวมถึงผู้กระทำผิดกฎหมายทั้งหลายอีกด้วย
ผู้ก่อการร้ายบางส่วนได้เข้ามอบตัว
กลุ่มทหารเพื่อประชาชนกลุ่มเก่าซึ่งเข้ามอบตัวก็หันมาตั้งพรรคทหารประชาชนเป็นพรรคภายใต้กฎหมายและเตรียมเข้าร่วมการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน
พรรคคอมมิวนิสต์บางส่วนเข้ามอบตัวในวันที่ ๑๕ สิงหาคม
ขณะเดียวกันฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่คงอยู่ในป่าได้พยายามเจรจากับรัฐบาล
และด้วยเหตุที่การเมืองขาดความมั่นคง
จึงส่งผลให้การผลิตและการค้าตกต่ำลง
เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองสั่นคลอน
นายกรัฐมนตรีอูนุจึงเลื่อนการเลือกตั้งที่จะจัดในเดือนพฤศจิกายน ๑๙๕๘
ไปเป็นเดือนเมษายน ๑๙๕๙ พร้อมกับได้ขอลาออกจากตำแหน่ง
แล้วประกาศมอบอำนาจการปกครองให้กับนายพลเนวินเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน
๑๙๕๘
ในด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมัยพรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์นั้น
รัฐบาลได้ใช้นโยบายวางตัวเป็นกลาง หลังจากที่ได้เอกราชมานั้น
ได้เข้าร่วมในองค์การสหประชาชาติในวันที่ ๑๙ เมษายน ๑๙๔๘
เพื่อพยายามผูกมิตรกับนานาประเทศ
เมียนมาเป็นประเทศแรกในกลุ่มประเทศที่ไม่ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ที่รับรองสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งเกิดใหม่เมื่อวันที่
๑ ตุลาคม ๑๙๔๙ และเมียนมายังได้ช่วยอินโดนีเชียในการเรียกร้องอิสรภาพ
พออินโดนีเซียได้เอกราชในวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๑๙๔๙
รัฐบาลเมียนมาก็ได้ให้การรับรองในทันที
และประเทศเมียนมายังเป็นประเทศแรกที่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ทำสัญญาสงบศึกกับญี่ปุ่นในเดือนพฤศจิกายน
๑๙๕๔
นายกรัฐมนตรีอูนุเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับจีน สหรัฐอเมริกา
อังกฤษ และญี่ปุ่น ได้เดินทางไปเยือนประเทศยูโกสลาเวีย
และในเดือนตุลาคม ๑๙๕๕
ยังได้ไปเยือนรัสเซียและประเทศในยุโรปตะวันออกบางประเทศ
อีกทั้งยังได้เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย
ในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมของปี ๑๙๕๔
ประเทศเมียนมาได้เข้าร่วมประชุมหารือเกี่ยวกับประเด็นความสัมพันธ์กับนานาประเทศในการประชุมโคลัมโบโดยร่วมประชุมกับอินเดีย
ปากีสถาน อินโดนีเซีย และศรีลังกา จากความพยายามของ ๕
ประเทศที่ร่วมประชุมโคลัมโบครั้งนั้น
ได้ทำให้เกิดมีการประชุมประเทศเอเชียและแอฟริกาที่เมืองบันดุง
ประเทศอินโดนีเซียในเดือนเมษายน ๑๙๕๕
ก่อนที่จะมีการประชุมในครั้งนี้นายกรัฐมนตรีอูนุของเมียนมาได้ทำข้อตกลงเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับนายกรัฐมนตรีเนห์รูของอินเดียและนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลของจีนและได้มีมติยอมรับข้อตกลงดังกล่าวในที่ประชุมบันดุง
ข้อตกลงดังกล่าว ได้แก่
๑) แต่ละประเทศจะเคารพในอธิปไตยของกันและกัน
๒) จะไม่มีการล่วงล้ำดินแดนของอีกประเทศหนึ่ง
๓) จะไม่เข้าแทรกแซงกิจการภายในของอีกประเทศหนึ่ง
๔) จะกระทำการที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน และ
๕) จะอยู่ร่วมกันโดยสันติ
เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๒
ได้เกิดการแข่งขันกันของประเทศมหาอำนาจ ๒ ฝ่าย
คือฝ่ายโลกตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกา และฝ่ายโลกตะวันออกนำโดยรัสเซีย
อเมริกาได้ร่วมมือกับประเทศปากีสถาน ตลอดจนฟิลิปปินส์ และไทย
ซึ่งอยู่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก่อตั้งองค์กรซีโต้ (SEATO = South
East Asia Treaty Organization)
ประเทศเมียนมามิได้เข้าร่วมกับกลุ่มใดๆ
และได้ยึดนโยบายวางตัวเป็นกลางสืบมา
และยอมรับเฉพาะความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจและความช่วยเหลือด้านความชำนาญการที่ไม่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยของประเทศตน
(๒) รัฐบาลรักษาการ (ค.ศ.
๑๙๕๘–๑๙๖๐)
เพื่อให้สามารถรักษาสถานการณ์อันสั่นคลอนไว้ได้
นายพลเนวินจึงเข้ารับผิดชอบในหน้าที่จัดตั้งรัฐบาลรักษาการโดยรับมอบอำนาจสืบจากนายกรัฐมนตรีอูนุ
มีการเรียกประชุมสภาสมัยวิสามัญขึ้นในวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๑๙๕๘
เพื่อจัดตั้งคณะรัฐบาลรักษาการ ในคณะรัฐบาลนั้น
นายพลเนวินเข้ารับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
พร้อมกับแต่งตั้งบุคคลสำคัญผู้ทรงเกียรติที่มิได้เป็นนักการเมืองอีก
๑๔ คนเข้าร่วมรัฐบาล
มีการกำหนดเรื่องที่รัฐบาลรักษาจะต้องดำเนินการไว้ ดังนี้
๑. การรักษาความสงบเรียบร้อยและการรักษาอำนาจทางกฎหมาย
๒.หลังจากที่อำนาจทางกฎหมายคืนสู่ภาวะปกติ
และได้รับความร่วมมือจากพรรคการเมือง
ก็จะจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาโดยอิสระและเป็นธรรมภายใน ๖
เดือน
๓. การทำให้ค่าครองชีพลดลง
๔. การแก้ไขความล้มเหลวทางเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นคืนมา
รัฐบาลรักษาการประสบผลสำเร็จเป็นพิเศษในการรักษาความสงบเรียบร้อยและการรักษากฎหมาย
คำสั่งอภัยโทษถูกยกเลิกและให้การปราบปรามผู้ก่อการร้ายดำเนินต่อไป
นอกจากจะปราบปรามผู้ก่อการร้ายด้วยกำลังทหารแล้ว
ยังได้มีการใช้วิธีตรวจสอบจิตสำนึก จึงทำให้ประสบผลสำเร็จยิ่งขึ้น
ผู้ก่อการร้ายเสียชีวิตประมาณ ๒๐๐๐ คน ได้รับบาดเจ็บประมาณ ๒๐๐๐ คน
และอีกกว่า ๓๐๐๐ คนวางอาวุธเข้ามอบตัว
มีการจัดพื้นที่อาศัยให้กับผู้กลับใจเป็นกลุ่มๆ
และยังได้ให้การดูแลความสะดวกสบายในด้านความเป็นอยู่
มีการจัดประชุมเพื่อกำหนดแผนงานสำหรับการรักษาความสงบเรียบร้อย ณ
โรงละครของกองทัพ ถนนอูวิสาระ เมืองย่างกุ้ง
และในเดือนพฤศจิกายน ๑๙๕๘ ได้ตั้งคณะกรรมการความมั่นคงในระดับต่างๆ
เพื่อดำเนินงานต่างๆให้เป็นรูปธรรม
ในการลดค่าครองชีพนั้น
รัฐบาลรักษาการได้กำหนดอัตราราคาสินค้าให้เป็นระบบ
ค่าครองชีพที่เคยสูงขึ้นในปี ๑๙๕๗ กลับลดลงอย่างเห็นได้ชัดในปี ๑๙๕๙
โดยเฉพาะราคาสินค้าประเภทเครื่องบริโภคและเครื่องนุ่งห่ม
รัฐบาลรักษาการได้ทำให้การปกครองรัฐฉานสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย
เพราะตั้งแต่ที่ได้รับเอกราชมาเจ้าฟ้าในรัฐฉานยังยึดรูปแบบการปกครองในระบบขุนนาง
โดยในเดือนเมษายน ๑๙๕๙ เจ้าฟ้าทั้งหลายได้ลงนามสละอำนาจ
และให้มีการปกครองรัฐฉานในรูปแบบเดียวกับแผ่นดินหลัก(มณฑลพม่าทั้งหลาย)
คือ ให้แบ่งการปกครองเป็นจังหวัด อำเภอ ตำบล
และได้แต่งตั้งรัฐมนตรีกำกับกิจการรัฐแต่ละรัฐสำหรับรัฐกะฉิ่น รัฐคะยา
รัฐกะเหรี่ยง และเขตปกครองพิเศษของฉิ่น
และยังได้จัดสรรเงินงบประมาณเพื่อกำกับดูแลความสะดวกสบายด้านการคมนาคม
การพัฒนาเศรษฐกิจ การยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน ในปี ๑๙๕๙ นั้น
ได้ก่อตั้งกลุ่มจั้งข่ายเย หรือ กลุ่มมั่นคง
(Wd"h-6b'Ngitvz:ch)
ที่มิใช่กลุ่มการเมืองให้ทำหน้าที่ช่วยเหลืองานด้านการดูแลความสะอาด
งานสุขภาพ และการปลูกจิตสำนึกอันแข็งแกร่งให้กับประชาชน
ในเดือนมกราคม ๑๙๖๐
มีการลงนามในข้อตกลงร่วมกันกับนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีนเกี่ยวกับกรณีปัญหาเขตแดนระหว่างจีนกับเมียนมา
ด้วยเหตุนี้ ในสมัยรัฐบาลรักษาการ
ปัญหาชายแดนระหว่างจีนกับเมียนมาที่มีขึ้นต่อเนื่องมาจึงได้รับการคลี่คลายไปด้วยดี
แม้คาดไว้ว่าจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาภายใน ๖
เดือนหลังจากที่รัฐบาลรักษาการได้มอบอำนาจนั้นก็ตาม
แต่ในช่วงที่ต้องรับผิดชอบในบทบาทนั้นเข้าจริง
จึงเห็นว่าการที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งอย่างเป็นธรรมภายใน ๖
เดือนนั้นเป็นไปไม่ได้ ในเดือนกุมภาพันธ์ ๑๙๕๙ ที่จะครบ ๖ เดือนนั้น
นายพลเนวินได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เหตุเพราะตามรัฐธรรมนูญการปกครองสหภาพเมียนมา มาตราที่ ๑๑๖
ระบุว่าหากนายกรัฐมนตรีมิได้มาจากสมาชิกสภา
จะมิอาจอยู่ในตำแหน่งได้เกิน ๖ เดือน ด้วยเหตุดังนี้ ในวันที่ ๒๖
กุมภาพันธ์จึงได้แก้ไขรัฐธรรมนูญการปกครอง มาตรา ๑๑๖ เสีย
จากนั้นในวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์
นายพลเนวินยังคงได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจเป็นนายกรัฐมนตรีต่อมาอีก
รัฐบาลรักษาการซึ่งได้รับการยืดอายุต่อมา
ได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาโดยอิสระและเป็นธรรมในเดือนกุมภาพันธ์
๑๙๖๐
แล้วรัฐบาลรักษาการได้มอบอำนาจการปกครองคืนให้กับพรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์กลุ่มสะอาดซึ่งชนะการเลือกตั้งในครั้งนั้น
รัฐบาลรักษาการซึ่งได้ปฏิบัติภารกิจเป็นระยะเวลา ๑๗ เดือนกว่านั้น
สามารถดำเนินการหลายอย่างเพื่อให้ประเทศพัฒนาขึ้นอย่างมากมาย
(๓) รัฐบาลสหภาพ ( ค.ศ.
๑๙๖๐–๑๙๖๒)
ในการเลือกตั้งที่จัดในเดือนกุมภาพันธ์ ๑๙๖๐
นั้น กลุ่มสะอาดของพรรคสันนิบาตอิสรภาพต่อต้านฟาสซิสต์ได้รับชัยชนะ
และได้เปลี่ยนชื่อพรรคของตนเป็นพรรคสหภาพ
ดังนั้นรัฐบาลที่ตั้งขึ้นจากพรรคนี้จึงถูกเรียกว่ารัฐบาลสหภาพ
(exPNg5k'N06 หรือเรียกโดยย่อว่า x50)
ในเดือนเมษายน ๑๙๖๐ รัฐบาลรักษาการได้โอนอำนาจให้กับรัฐบาลสหภาพ
ในการตั้งรัฐบาลสหภาพนั้น
อูนุได้เป็นนายกรัฐมนตรีและได้แต่งตั้งรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐบาล ๑๓ คน
พร้อมกันนี้ยังได้แต่งตั้งคณะที่ปรึกษา ๕
คนเพื่อคอยให้คำปรึกษาตามที่นายกรัฐมนตรีมีความประสงค์
ในช่วงแข่งขันหาเสียงเลือกตั้งครั้งนั้น
อูนุได้ให้สัญญากับประชาชนไว้ว่าจะให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
อูนุจึงได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ดังนั้นพอได้อำนาจ
จึงได้ตั้งคณะทำงานเพื่อการสถาปนาให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
ในทำนองเดียวกัน จากการที่ได้ให้สัญญาว่าจะให้ตั้งรัฐยะไข่และรัฐมอญ
จึงได้ตั้งคณะทำงานเพื่อการนี้อีกเช่นกัน
นอกจากนี้ยังได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาการปรับปรุงรูปแบบการปกครองให้เหมาะสม
ตั้งคณะทำงานการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย
และตั้งคณะกรรมการร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ๔ ปี
แม้รัฐบาลสหภาพจะได้กำหนดแนวทางทางการเมืองขึ้นใหม่ไว้แล้วก็ตาม
แต่ภายในพรรคกลับมีการแบ่งพวกแบ่งฝ่ายขึ้นมาอีก
นับตั้งแต่การก่อตั้งกลุ่มสะอาดขึ้นนั้น ได้เกิดกลุ่มตะขิ่น
(l-'Nv6xN06) ซึ่งรวมผู้มีประสบการณ์ทางการเมือง
แล้วก็เริ่มแยกตัวนับแต่ตั้งเป็นพรรคสหภาพ
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือทหารที่เคยร่วมต่อต้านฟาสซิสต์
ได้ตั้งเป็นกลุ่มทหาร (r6b]Nv6xN06)
และเข้าร่วมกับฝ่ายข้าราชการเก่าและกลุ่มทนาย ซึ่งเรียกว่ากลุ่มอู
(Ftv6xN06) เป็นอีกฝ่ายหนึ่ง พรรคสหภาพจึงแตกเป็น ๒ ฝ่าย
คือกลุ่มตะขิ่น และกลุ่มทหารและข้าราชการ เมื่อ ๑ ปีผ่านไป
อูนุประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค
ทั้งสองฝ่ายจึงแย่งชิงกันเพื่อที่จะให้มีอำนาจในพรรคเหนืออีกฝ่าย
ดังนั้นการเมืองจึงไม่ราบรื่น
ภัยผู้ก่อการร้ายที่เคยลดลงในสมัยของรัฐบาลรักษาการนั้นได้หวนกลับมารุนแรงขึ้นอีก
ปัญหาก๊กมินตั๋งก็กลับหนักหนา ในเดือนพฤศจิกายน ๑๙๖๐
กองกำลังก๊กมินตั๋งได้บุกถึงเขตเชียงตุง
และจากการที่รัฐบาลเมียนมาได้ทราบว่าอเมริกาให้การช่วยเหลือกองกำลังนั้น
จึงฟ้องถึงองค์การสหประชาชาติ
และยังได้เรียกร้องต่อรัฐบาลอเมริกาอีกด้วย
ส่วนในการกำหนดให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติก็ต้องพบกับความยุ่งยาก
เพราะต้องเสนอต่อสภาฯให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
การที่พุทธศาสนาจะเป็นศาสนาประจำชาตินั้นได้ทำให้ประชาชนที่นับถือศาสนาอื่นมีความกังวล
ดังนั้นจะต้องให้อิสรภาพในการนับถือศาสนาอื่นๆด้วย
จึงจักต้องให้มีการเพิ่มมาตราในรัฐธรรมนูญเพื่อให้ได้รับการคุ้มครอง
กรณีเรื่องศาสนาจึงได้ทำให้มีการแตกแยกทางความคิดขึ้นมาอีก
ในเดือนกรกฎาคม ๑๙๖๑
ซัตฉ่วยไต้(0xNgUl6bdN)และซัตขุนโฉ่(0xN-:oN-yb7)ผู้นำในกลุ่มเจ้าฟ้าฉาน
ได้เป็นผู้นำในการจัดประชุมผู้แทนประชาชน ณ เมืองตองจี
ในการประชุมครั้งนั้นได้มีการกล่าวกระทบกระเทือนถึงเอกภาพของชนในชาติ
เพราะได้มีการเสนอประเด็นความต้องการมีอำนาจอธิปไตยในรัฐต่างๆ
หากไม่ได้อำนาจนั้นก็จะขอแยกตัวจากสหภาพ
ตามระบอบสหพันธรัฐ(Federal)ที่พวกเขาต้องการนั้น
มณฑลพม่าจะมีสถานภาพเป็นเพียงรัฐหนึ่ง จะต้องให้อำนาจแก่สภาทั้ง ๒
สภาเท่าเทียมกัน ต้องให้จำนวนผู้แทนในสภาชนชาติ(]^,y7bt06]9Ng9kN)
ของแต่ละรัฐมีจำนวนเท่ากัน
รัฐต่างๆจะกำหนดขอบเขตอำนาจของรัฐบาลกลางตามความต้องการของรัฐ
และต้องมอบอำนาจส่วนที่เหลือให้รัฐดูแลกันเอง
รัฐบาลสหภาพมิได้ให้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นสหพันธรัฐที่เสนอในที่ประชุมเมืองตองจี
เพียงแต่ให้คำตอบที่ฟังดูนุ่มนวลว่าจะรับเรื่องไว้พิจารณาตามวิถีประชาธิปไตย
และต่อมาในวันที่ ๑ มีนาคม ๑๙๖๒
จึงได้มีการประชุมเพื่อหารือในเรื่องสหพันธรัฐในเมืองย่างกุ้ง
อีกเช่นเคยฝ่ายอดีตเจ้าฟ้าฉานทั้งหลายได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า
หากไม่ได้ระบอบสหพันธรัฐก็จะขอแยกตัวออกจากสหภาพ
ดังนั้นเพื่อที่จะควบคุมสถานการณ์ในสหภาพเมียนมาที่กำลังเลวร้ายลงอย่างที่สุด
กองทัพเมียนมาจึงต้องเข้าแบกรับภารกิจ
วิรัช นิยมธรรม
แปล