จิตสำนึกแห่งสหภาพ :
ความปรองดองในชาติจากรัฐสู่เยาวชนพม่า
ในโรงเรียนระดับประถมศึกษาของพม่า
แต่ละโรงเรียนจะต้องจัดให้มีการประชุมนักเรียนเพื่อประกอบพิธีปลูกฝังความรักชาติอยู่เป็นประจำ
ในพิธีจะมีการแสดงความเคารพธงชาติและคารวะวีรบุรุษโดยพร้อมเพรียง
ที่เน้นเป็นพิเศษคือการบ่มเพาะให้นักเรียนมีจิตสำนึกที่จะดำรงรักษาชาติและเผ่าพันธุ์ของตน
และร่วมใจในการสร้างความปรองดองของคนร่วมชาติ
กิจกรรมดังกล่าวยังเป็นการสร้างลักษณะนิสัยให้นักเรียนได้คุ้นเคยกับการอยู่ร่วมกับคนหมู่มากอีกด้วย
รายละเอียดของพิธีดังกล่าวว่าไว้ในตำราเรียนวิชา
“จิตใจแห่งสหภาพ” สำหรับนักเรียนชั้นประถมปีที่ ๔
ผลิตโดยคณะกรรมการหลักสูตรและแบบเรียน (กองตำรา) ของรัฐบาลพม่า
ในตำรานั้นได้กล่าวถึงรายละเอียดของพิธีดังกล่าวไว้ว่า ก่อนวันทำพิธี
๑ วัน ต้องตระเตรียมสถานที่ตั้งเสาธง
พร้อมแท่นสำหรับครูใหญ่ยืนเป็นประธานในพิธี
และสนามหญ้าสำหรับนักเรียนตั้งแถว
ครูใหญ่ต้องแจ้งให้ครูและนักเรียนมาถึงโรงเรียนก่อนเสียงระฆังดัง ๕
นาทีและพร้อมเข้าประจำที่
ครูใหญ่ต้องแจ้งวัตถุประสงค์ของพิธีให้นักเรียนทราบล่วงหน้า
เพื่อให้นักเรียนตระหนักในจิตใจแห่งสหภาพและความสมัครสมานของชนทุกเผ่าพันธุ์
ในตอนเช้าของวันประกอบพิธี
นักเรียนจะต้องแต่งเครื่องแบบและมาถึงห้องเรียนให้ทันเวลา
พอได้ยินเสียงระฆัง ครูประจำชั้นจะพานักเรียนเดินเข้าแถวเรียง ๒
มารวมตัวกันที่สนามหญ้าหน้าเสาธง
ในขณะเดียวกันครูต้องคอยกำชับให้นักเรียนมีวินัยและเชื่อฟังคำสั่ง
พอเริ่มพิธี
ครูใหญ่จะยืนบนแท่นหน้าแถวนักเรียนที่ยืนเรียงโอบเป็นรูปพัด
ส่วนครูน้อยจะยืนกำกับอยู่นอกแถว
ครูคนหนึ่งจะออกคำสั่งให้ทั้งหมด “ตรง” ทุกคนในพิธียืนตรงนิ่ง
และสั่งให้ “แสดงความเคารพธงชาติสหภาพเมียนมา” จากนั้นจะสั่งให้
“แสดงความเคารพผู้นำวีรชนที่ล่วงลับ” แล้วทุกคนร่วมร้องเพลงชาติ
โดยพร้อมเพรียง พอจบเพลงก็จะสั่งให้ทั้งหมด “พัก” อยู่ในท่าสบาย
โดยยืนสองขาแยก เพื่อเตรียมฟังครูใหญ่กล่าว
ครูใหญ่จะกล่าวถึง ธงชาติ เพลงชาติ และจิตสำนึกแห่งสหภาพ ว่า …
“ในการแสดงความเคารพต่อธงชาตินั้น ต้องเคารพด้วยกายและใจให้ถูกหลัก
และในขณะยืนเคารพธงชาติ
ต้องตั้งจิตปฏิญาณว่าจะปกป้องรักษาเอกภาพและเอกราชแห่งสหภาพ”
“ในขณะที่ร้องเพลงชาตินั้น
ต้องน้อมนำความรู้สึกต่อไปนี้ให้ประทับมั่นอยู่ในใจ คือ
จิตใจรักบ้านเมืองตน จิตใจที่จะปกป้องประเทศ
และจิตใจที่จะร่วมกระทำประโยชน์เพื่อชาติ
สิ่งเหล่านี้คือจิตสำนึกอันถูกต้อง”
“ในท้ายที่สุดที่จะขอกล่าว คือ จิตสำนึกแห่งสหภาพ
ในสำนึกของพวกเราทั้งหลายนั้น
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือส่วนไหนของประเทศก็ตาม
ต่างต้องมีใจสามัคคีกลมเกลียว ทุกคนต้องรักใคร่
ยกย่องและเทิดทูนในผืนแผ่นดินอันประสานด้วยย่าน หมู่บ้าน
และอำเภอของตน
ทั้งต้องเผยให้เห็นจิตสำนึกเพื่อเผ่าพันธุ์อันหมายถึงการรักษาชาติพันธุ์ของตน
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
จะต้องมีสำนึกแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างรักใคร่แบบอยู่ร่วมดินกินร่วมน้ำ
ดุจพี่น้องร่วมไส้ มีจนเสมอกัน และอยู่ร่วมเย็นร่วมร้อน
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ขอสั่งไว้”
พอครูใหญ่กล่าวจบ
จะสั่งให้ทุกคนยืนตรงแล้วให้ครูที่ดูแลประจำแถวนำนักเรียนทยอยเดินออกจากสนามกลับสู่ชั้นเรียน
และย้ำให้โรงเรียนต้องตระหนักเสมอว่ากิจกรรมประจำวันของโรงเรียนจะต้องปลูกฝังนักเรียนให้เป็นพลเมืองดีของชาติ
ในตำราเรียน “จิตใจแห่งสหภาพ”
ซึ่งเป็นตำราสอนหน้าที่พลเมืองเล่มหนึ่งนั้น ยังให้เนื้อหาอื่นอีก
เช่น วัฒนธรรมสำคัญของชนชาติพันธุ์ต่างๆ
ลักษณะเด่นของรัฐและภาคต่างๆและการทำมาหากิน
จากนั้นจะกล่าวถึงประวัติศาสตร์แห่งความเป็นทาสและชี้ภัยจากความไร้เอกภาพ
แล้วจึงกล่าวถึงสภาพปัจจุบันของสหภาพพม่าภายใต้การดูแลของรัฐบาลทหาร
ในส่วนของประวัติศาสตร์นั้น ได้เน้นความสำคัญของกองทัพไว้ว่า …
“หลังจากที่สหภาพเมียนมาได้เอกราชเพียงไม่นาน
เอกภาพของชาติก็พังลงอย่างง่ายดาย
ฝ่ายคณะบุคคลที่เคยร่วมเรียกร้องเอกราชมาด้วยกันต่างมีความเห็นไม่ลงรอย
และพี่น้องร่วมชาติต่างบาดหมางต่อกันจนมิอาจรอมชอมกันได้
ในที่สุดได้เกิดขบวนการผู้ก่อการร้ายขึ้นภายในประเทศ
พื้นที่แถบป่าเขาแดนกันดารและพื้นที่ห่างไกลกลายเป็นฐานที่มั่นของพวกผู้ก่อการร้าย
ภัยจากผู้ก่อการร้ายได้ทำให้พื้นที่เหล่านั้นไม่อาจได้รับการดูแลด้านการคมนาคม
อุตสาหกรรม การศึกษา และการสาธารณสุข
ดังนั้นจึงเกิดช่องว่างของการพัฒนาระหว่างเมืองกับชนบท
กลุ่มชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลจึงถูกปล่อยให้มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างล้าหลัง
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ความไว้วางใจระหว่างชนชาติลดลง
พร้อมกับทำลายความสามัคคี
แม้ว่าพรรคการเมืองที่เคยได้อำนาจในการปกครองประเทศจะมีหน้าที่ในการรักษาความสามัคคีของชนในชาติก็ตาม
แต่ก็กลับเหินห่างต่อหน้าที่ดังกล่าว
มิซ้ำยังเกิดความแตกแยกกันในพรรคการเมือง พอในปี ค.ศ. ๑๙๕๘
รัฐบาลโดยพรรคต่อต้านฟาสซิสต์เกิดแบ่งเป็นสองฝ่ายและหันมาเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรง
ดังนั้นสถานการณ์ในประเทศจึงยิ่งย่ำแย่
จนที่สุดรัฐบาลรักษาการ(กองทัพ)จึงต้องเข้ามาแบกรับหน้าที่
ในสมัยรัฐบาลรักษาการนั้น สถานการณ์ของประเทศได้พัฒนาไปในทางที่ดี
แต่พอคืนอำนาจให้กับรัฐบาลพรรคการเมืองนามว่า “พรรคสหภาพ”
สถานการณ์ในประเทศกลับตกต่ำลงอีก
ซึ่งยิ่งกระทบต่อความปรองดองของชนในชาติ ดังในปี ค.ศ.๑๙๖๒
เจ้าฟ้าไทใหญ่บางส่วนได้เรียกร้องให้มีการปกครองแบบสหพันธรัฐ
อันมีผลให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างชนชาติ
จนเกือบเป็นเหตุให้สหภาพล่มสลาย ดังนั้นในวันที่ ๒ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๖๒
กองทัพจึงต้องเข้ามาค้ำจุนไม่ให้ประเทศเป็นอันตรายถึงแตกแยก
และได้ตั้งคณะปฏิวัติเพื่อฟื้นฟูประเทศที่กำลังย่อยยับในทุกด้านอยู่ขณะนั้น
ในการฟื้นฟูประเทศนั้น
คณะปฏิวัติได้พยายามเป็นพิเศษที่จะสร้างเอกภาพขึ้นในประเทศ
โดยมีการเจรจากับกองกำลังติดอาวุธที่อาศัยอยู่ในป่า
พร้อมทั้งตั้งคณะที่ปรึกษาเพื่อเอกภาพแห่งชาติขึ้น อย่างไรก็ตาม
ก็ไม่อาจดำเนินการด้านความสงบและเอกภาพให้สำเร็จเป็นรูปธรรมได้
ทั้งนี้ก็เนื่องเพราะขาดความเข้าใจในเจตนาอันดีและความเห็นอันชอบของคณะปฏิวัติ
ในปี ค.ศ. ๑๙๘๘ ได้เกิดการจลาจลขึ้นในเมียนมา
การจลาจลครั้งนั้นมีสาเหตุเพียงเรื่องทะเลาะวิวาทเท่านั้น
แต่ผู้ก่อการร้ายภายในและจากภายนอก
ตลอดจนกองกำลังติดอาวุธกลับพยายามยุยงให้เกิดจลาจลโดยฉวยประโยชน์จากฝูงชนที่ไร้ระเบียบ
ทั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อต้องการล้มล้างรัฐบาล ในช่วงการจลาจลนั้น
ทรัพย์สินของประเทศต้องสูญเสียเป็นอันมาก
และถึงขนาดมีการฆ่าฟันตัดหัวราวกับว่าบ้านเมืองไร้ผู้นำ
ประเทศชาติจึงเข้าสู่สภาวะโกลาหล
ดังนั้นกองทัพจึงต้องตั้งคณะดูแลความสงบเรียบร้อยแห่งชาติขึ้น
(สลอร์ก) เพื่อเข้ารับหน้าที่กำกับดูแลประเทศในทุกด้าน
สลอร์กได้ประกาศเจตจำนง “ภารกิจของเรา ๓ ประการ”
ได้แก่ ๑) มิให้สหภาพแตกแยก ๒) มิให้มีการแตกความสามัคคีระหว่างชนชาติ
และ ๓) อธิปไตยต้องมั่นคง
ในการดำเนินภารกิจทั้ง ๓ ประการนั้น จำเป็นต้องมีพละกำลัง
และกองทัพเองก็ไม่อาจแบกรับได้โดยลำพัง
ดังนั้นรัฐบาลสลอร์กจึงต้องพยายามทำให้เอกภาพของชนในชาติกลับคืนมา
โดยมีการเจรจากับกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มต่างๆเพื่อให้เกิดสันติภาพ
ในการเจรจานั้น มิได้มุ่งที่การวางอาวุธ
แต่ได้เจรจาให้มีการหยุดการสู้รบ
เพื่อหันมาร่วมมือกันในการพัฒนาพื้นที่เป็นหลัก
ด้วยความเข้าใจในความเห็นอันชอบของสลอร์ก
กองกำลังติดอาวุธในป่าได้กลับมาอยู่ภายใต้กฎหมายถึง ๑๗ กลุ่ม
สลอร์กได้เข้าดูแลประเทศอย่างเป็นระบบเพื่อให้เกิดการพัฒนาในพื้นที่ชายแดนและการพัฒนาชนเผ่า
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสงบสุขอย่างถาวร
ในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว สลอร์กได้ตั้ง
“คณะกรรมการกลางฝ่ายการพัฒนาชายแดนและชนเผ่า” และ
“คณะกรรมการดำเนินงานการพัฒนาชายแดนและชนเผ่า”
คณะกรรมการดังกล่าวได้ใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อการพัฒนาความเจริญในพื้นที่ชายแดน
นอกจากนี้สลอร์กยังได้ดำเนินการก่อสร้างและปรับปรุงพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ
ดังนั้นในพื้นที่ที่มีความสงบจึงมีถนน สะพาน ฝาย เขื่อน โรงงาน
โรงพยาบาล และโรงเรียนเพิ่มจำนวนมากขึ้น
นับว่าการพัฒนาได้ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
ในปัจจุบัน
รัฐบาลได้ตั้งคณะดูแลความสงบและการพัฒนาแห่งชาติ(SPDC)เพื่อสร้างประเทศใหม่ให้ทันสมัย
โดยยังคงยึดมั่นในเจตจำนงที่เป็นภารกิจ ๓ ประการนั้น
โดยความเป็นจริง
ความมีน้ำหนึ่งใจเดียวของชนเผ่าร่วมชาติถือเป็นกำลังสำคัญของประเทศ
ด้วยพลังดังกล่าวการพัฒนาความเจริญจึงจะดำเนินต่อไปได้
และหากสามารถรักษาความปรองดองของชนชาติที่ได้มามิให้ต้องพังลงอีก
ความพยายามที่จะให้เกิดความสามัคคีกลมเกลียวขึ้นในชาติก็จะเป็นผลได้มากขึ้น”
ในส่วนท้ายของตำราเล่มนี้ ยังได้กล่าวถึง “จิตใจแห่งสหภาพ”
ซึ่งเป็นหัวใจของการสร้างความปรองดองในชาติไว้ว่า …
“เมียนมาเป็นสหภาพที่ประกอบด้วยรัฐ ๗ รัฐ และมีภาค ๗ ภาค
และยังประกอบด้วยเชื้อชาติต่างๆถึง ๑๓๕ ชนเผ่า
เมียนมาเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์
และยังเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมสูงส่งสืบมาเป็นเวลา ๒๐๐๐ ปี
ถึงแม้เมียนมาจะตั้งอยู่ระหว่างประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลกถึง
๒ ประเทศก็ตาม(อินเดียและจีน)
แต่เมียนมาก็เป็นประเทศที่สามารถดำรงรักษามรดกทางวัฒนธรรมของตนไว้ได้
การที่จะให้ประเทศเจริญเติบโตและสงบร่มเย็นตามเจตนาได้นั้น
ความปรองดองของชนเผ่าจำเป็นต้องมั่นคง
และการที่จะเป็นประเทศใหม่ดังหวังนั้นชนเผ่าต่างต้องมีสำนึกแห่งสหภาพ
สำนึกแห่งสหภาพคือจิตใจที่ยึดมั่นในความสมัครสมานสามัคคีของคนทั้งชาติที่อาศัยอยู่ในส่วนต่างๆของประเทศภายใต้ธงผืนเดียวกัน
โดยทุกคนต้องรักและเทิดทูนประเทศของตนอันประกอบด้วยหมู่บ้าน เมือง
และท้องถิ่นต่างๆของตนรวมอยู่ด้วย
ให้เป็นความรักดุจเดียวกับความรักที่ทุกคนมีต่อหมู่บ้านของตน
เมืองของตน หรือท้องถิ่นของตน
ทุกคนจะต้องมีจิตใจที่ปรารถนาให้ประเทศของตนพัฒนา
และบ่มเพาะจิตใจที่พร้อมจะปกป้องดูแลเอกราชของประเทศให้มั่นคงถาวร
กล่าวคือจิตใจแห่งสหภาพนั้นเกิดจากความรักชาติรักเผ่าพันธุ์อันปรารถนาที่จะปกป้องประเทศตน
ชนชาติต่างๆในแผ่นดินเมียนมาอาศัยอยู่ร่วมกันแบบร่วมทุกข์ร่วมสุขมายาวนานและทั้งยังมีความสมัครสมานสามัคคี
แต่จากการที่เจ้าอาณานิคมได้ใช้วิธีแบ่งแยกปกครอง
แผ่นดินเมียนมาจึงถูกแบ่งเป็นพื้นที่หลักพื้นที่ย่อย
และยังใช้วีธีการต่างๆเพื่อแบ่งแยกสายเลือดและปลุกปั่นให้ทะเลาะกัน
เป็น พม่า-ชาน พม่า-กะเหรี่ยง พม่า-ชิน พม่า-ยะไข่
ดังนั้นพอชนต่างเผ่าเสียความสามัคคีเสียแล้วเลยเกิดความรู้สึกแปลกแยกและหวาดระแวงต่อกัน
พอถึงเวลาที่ได้เอกราชจึงได้เกิดกลุ่มก่อการร้ายภายในประเทศ
รัฐบาลแต่ละยุคสมัยพยายามปราบปรามแต่ก็ไม่สำเร็จ
แต่หลังจากที่รัฐบาลทหารเข้าแบกรับภารกิจของชาติ
จึงสามารถรักษาความสงบและทำให้เกิดความสามัคคีขึ้นได้ใหม่
ฉะนั้นหากขาดสำนึกแห่งสหภาพเสียแล้วก็จะเป็นอันตรายต่อประเทศ
และความสามัคคีจะเกิดขึ้นก็เสมอด้วยสำนึกแห่งสหภาพ
หากประเทศมีความสงบสุขประเทศก็จะพัฒนา
ดังนั้นจงพยายามทำให้ประเทศมีความสามัคคีในชาติตามที่หวัง
และจงให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองและสงบสุขด้วยความร่วมไม้ร่วมมือจากชนทุกเผ่า”
ความรู้เกี่ยวกับพม่าต่อการปลูกฝังความรักชาติ ด้วยอุดมการณ์
“จิตใจแห่งสหภาพ” นั้น
บอกถึงทิศทางทางการเมืองของสหภาพพม่าได้ดีว่ากองทัพจะยังเป็นหัวใจของประเทศในการสร้างความปรองดองในชาติเพื่อให้เกิดสันติภาพอย่างถาวร
และชาตินิยมจะยังเป็นแนวทางทางการเมืองสำหรับต้านทานภาวะคุกคามและการแทรกแซงจากภายนอก
ดังนั้นเอกภาพ(สหภาพ) ภราดรภาพ(ความปรองดอง)
และอธิปไตย(การไม่ถูกแทรกแซงทางการเมือง)จึงเป็นเจตจำนงแห่งชาติที่รัฐบาลพม่าให้ความสำคัญและนำมาปลูกฝังเยาวชนพม่าให้เป็นพลังร่วมใจกับกองทัพ
และให้ตระหนักว่ากองทัพได้เข้ามาทำหน้าที่ในการปกครองก็เพราะเป็นภารกิจที่ปน็นระวัติศาสตร์มอบหมาย
วิรัช
นิยมธรรม