15 ธันวาคม 2550
วันนี้คณะผู้เดินทางพลังเสื้อเหลืองพร้อมกันที่โรงเรียนไผทอุดมศึกษา 7.00 น. ออกเดินทางด้วยรถบัสปรับอากาศ 3 คัน และรถตู้อีก 2 คัน มุ่งหน้าสู่โรงเรียนบางตะบูนวิทยา อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี เพื่อปลูกต้นไม้ถวายในหลวง ภายใต้ชื่อโครงการ ไผทอุดมศึกษาปลูกต้นไม้ถวายพ่อ : ๑ ครอบครัว ๑ ต้นไม้ คลายโลกร้อน
คณะผู้เดินทางมีสมาชิอยู่ 4 กลุ่มย่อย กลุ่มที่สำคัญที่สุดคือ กลุ่มครอบครัว ประกอบด้วยนักเรียนชั้น อนุบาล ป1 ถึง ป.6 พร้อมคุณพ่อคุณแม่ มียกเว้นอยู่ 1 ครอบครัว ที่พาคุณยายมาด้วย กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มคุณครูผู้อำนวยความสะดวก กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มผู้บริหาร ทำหน้าที่กำกับงาน ทุกอย่างราบรื่น มีความสุขถ้วนหน้า ส่วนกลุ่มที่ 4 เป็นกลุ่มที่ปรึกษา เป็นกลุ่มที่ไม่มีหน้าที่ใดๆ นอกจากทำตัวเหมือนนักท่องเที่ยวกิตติมศักดิ์
จากการสนทนากับผู้อำนวยการโรงเรียน อาจารย์พริ้มเพรา สุพโปฏก พบว่าเป็นเจตนาของ ผอ. ที่ให้ผู้ปกครองมีโอกาสร่วมทำความดีถวายในหลวงทั้งครอบครัว และร่วมส่งเสริมความใฝ่รู้ของนักเรียน
ผู้ปกครองคนหนึ่งเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า รู้สึกประทับใจในกิจกรรมหลายๆอย่างที่ได้ร่วมทำกับลูก ลูกมีความสุข สนุก และภูมิใจที่คุณพ่อคุณแม่รับรู้และชื่นชมความสามารถ ความกล้าที่ร่วมกิจกรรมในกลุ่ม
ถึงโรงเรียนบางตะบูนวิทยา เราได้รับการต้อนรับอย่างดี จากคุณครูชมภูนุช ประเสริฐจิตร์ หัวหน้าศูนย์อนุรักษ์และศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลนโรงเรียนบางตะบูนวิทยา พร้อมทีมเสื่อสีฟ้ามัคคุเทศก์น้อยของโรงเรียนบางตะบูนวิทยา ทุกคนผ่านการเรียนรู้จากค่ายอนุรักษ์ป่าชายเลน พร้อมให้ความรู้แก่คณะนักเรียน นักศึกษาจากสถาบันต่างๆ และผู้สนใจ
โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนประจำตำบล จัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ม.1 ถึ. ม.6 มีนักเรียน ร้อยกว่าคน ด้านหลังโรงเรียนเป็นพื้นที่ป่าชายเลนที่ยังมีสภาพอุดมสมบูรณ์ ไม่น้อยกว่า 30 ไร่ จัดตั้งเป็นศูนย์อนุรักษ์และศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลนโรงเรียนบางตะบูนวิทยา มีผู้สนใจจากสถาบันต่างๆ เข้าเยี่ยมชมศึกษาหาความรู้ในศูนย์ฯจำนวนมาก โดยเฉพาะปีนี้ ทราบมาว่า มีผู้มาเยี่ยมชมทั้ง 365 วัน มัคคุเทศก์น้อยปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียน ป่าชายเลน และชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนรอบๆโรงเรียน
ขณะที่เรากำลังเดินแถวเข้าห้องประชุม เพื่อฟังคำบรรยายประกอบวิคีทัศน์ เราพบกลุ่มนักเรียนประมาณ 70 คนจากสุพรรณบุรีมาค้างแรมที่โรงเรียนและกำลังจะลงเรือเรียนรู้ชีวิตชุมชนสองฝั่งแม่น้ำบางตะบูน เห็นแววตาแต่ละคนมีความสุข คงได้รับความรู้ความสุขเต็มที่อย่างแน่นอน
พวกเราได้เรียนรู้สิ่งมีชีวิตในป่าชายเลน ได้แก่ ต้นโกงกาง ตะบูน ตะบัน ลำพู และแสม ไม้เหล่านี้พบได้ในสภาพป่าชายเลนทั่วไป มีสัตว์หลายชนิด สัตว์ในน้ำหรือในเลนที่เด่นมาก ได้แก่ ปลาตีน ปูก้ามดีด ปูดีดขัน ส่วนสัตว์บกมีสองชนิด คือ ลิง และสุนัข คุณครูแนะนำให้ถือไม้ไว้ป้องกันตัวจากความซนของลิง ระวังลิงแย่งของกิน เพราะมันเรียนรู้ว่าถุงก๊อบแก๊บมีขนมแน่ๆ หลังจากฟังบรรยายพร้อมชมสไลด์ประกอบแล้ว มัคคุเทศก์น้อยนำพวกเราเข้าไปศึกษาป่าชายเลนหลังโรงเรียน เป็นกลุ่มๆ ทางเดินเป็นคอนกรีดทอดยาวไปทางทะเลแล้ววกกลับเป็นรูปตัว U ทางเดินช่วงหนึ่งเป็นไม้กระดาน มัคคุเทศก์อธิบาย ให้ข้อมูลเป็นจุดๆ จัดเป็นฐาน ได้แก่ ฐานทะเล - ฐานแสม - ฐานโกงกาง และ- ฐานชะคราม
หลังรับประทานอาหารเที่ยงพวกเราปลูกต้นไม้ ตามความตั้งใจ ทางโรงเรียนบางตะบูนเตรียมต้นกล้าแสมให้เรา ครอบครัวละ 1 ต้น คุณครูชมภูนุช ประเสริฐจิตร์ เตรียมพื้นที่รอบทางเดินขุดเป็นหลุมเว้นระยะห่างเป็นจังหวะ แนะนำให้เรานำต้นกล้าปลูกในหลุมแล้วเติมดินที่โคนต้น ต้องกดแรงๆ ให้แน่น เอาไม้ปักผูกเป็นหลักยึดต้นไว้ เวลาน้ำขึ้นจะท่วมต้นกล้า แต่จะไม่ถูกพัดพาไป ภาพความร่วมมือในการปลูกต้นไม้ของแต่ละครอบครัวน่ารักมาก คุณพ่อบางคนหารือกับลูกว่าใครจะเป็นคนเอาต้นกล้าหย่อนลงไปในหลุม ใครจะส่งดินให้ ดูสามัคคีทั้งพ่อ-แม่และลูก บางที่เป็นทางลาดเอียงลงไปที่มีน้ำอยู่ ท่าทางการปลูกก็เป็นลีลาน่าดูทีเดียว ผู้เขียนคิดว่าทุกครอบครัวจะได้หัวข้อสนทนาที่สร้างสรรค์ ผูกพันระหว่างกันนาน
ภาคบ่าย นักเรียนและผู้ปกครองลงเรือชมชีวิตริมแม่น้ำ โดยมีคุณครูชมภูนุช ประเสริฐจิตร์พร้อมมัคคุเทศก์เป็นผู้บรรยาย เรือมี 2 ลำ จุได้ 60 คน อาจารย์และผู้บริหารจึงเรียนรู้ชีวิตคนในหมู่บ้านแทน เราอำลาโรงเรียนเวลาประมาณบ่ายสามโมง และกลับเข้ากรุงเทพด้วยสวัสดิภาพ
การเรียนรู้ในสภาพจริงเป็นประสบการณ์ที่ให้ทั้งความรู้ การคิด และความรักต่อสิ่งรอบตัว ได้มีโอกาสชื่นชมแบบอย่างของความเอื้อเฟื้อของโรงเรียนบางตะบูน ความเก่งของสมาชิกเสื้อสีฟ้า ทำให้จิตเกิดสุนทรียภาพ และ จินตนาการอื่นๆ แต่ทั้งนี้ คงเกิดตามความแตกต่างของแต่ละคน อยากเชิญชวนให้ร่วม เผื่อแผ่ความคิด ความรู้ และ ความรู้สึกต่อกัน จะมีใครไหมหนอ โปรดเสนอตัว แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ขอขอบคุณมากนะที่นี้
ครุภาวิณี
สวัสดีครับคุณครู
ผมสงสัยว่าการเรียนรู้จากสภาพจริง หรือจากประสบการณ์ ทำไมจึงมีความรู้สึกว่าผู้เรียนได้รับ และสามารถเข้าใจเองได้เลยว่า เด็กเป็นผู้มีความรู้และความเข้าใจ แต่ที่ผ่านมากรอบของหลักสูตร โปรแกรมหรือการเรียนรู้จากตำราหลายๆเล่ม ส่วนใหญ่ก็น่าจะมาจากประสบการณ์ของท่านผู้รู้(ผู้สอน) แต่กว่าจะทำให้ผู้เรียนเข้าใจได้ ผมในฐานะผู้เรียนแล้วทำไมรู้สึกว่าเข้าใจยากจังเลยครับ แถมผู้เรียนยังต้องมาทำข้อสอบที่กำหนดขึ้นจากประสบการณ์ของผู้สอนด้วย ตลอดจนเกณฑ์ต่างๆที่ผู้สอนสร้างขึ้น ในการวัดผลสัมฤทธิ์
อาจารย์คิดว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง เกณฑ์การวัดผลสัมฤทธิ์มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรครับ ใครรู้บ้างครับ ผมสงสัยจริง