ศาลยังบังคับใช้ “สิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม” ไม่ได้ เพราะยังไม่มี “กฎหมายลูก.” นักกฎหมายไทยส่วนใหญ่ ดูจะเข้าใจเช่นนี้ ไม่มีเว้น แม้แต่ผู้พิพากษาไทยในทุกศาล ตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญ, ศาลปกครอง, และศาลยุติธรรม. แต่สัมมนาทางวิชาการในวันเสาร์ที่ ๒๕ กพ. ๐๖ นี้ จะเสนอผลการวิจัยว่า นั่นคือความเข้าใจที่ผิดพลาด เพราะศาลนานาชาติวาง หลักนิติศาสตร์สากล ไว้ว่า “ศาลมีอำนาจปรับใช้ไปได้เลย” (ยกเว้นในบางกรณี) เรียกว่าหลัก “Self-Executing” (แปลไทยว่า “สภาพบังคับอัตโนมัติ”) คือ บังคับใช้ในทันทีไปได้เลย โดยไม่ผูกมัดต้องคอยกฎหมายลูก.
กฎหมายลูกที่จะออกมาในภายหลัง จะกำหนดได้ ก็แต่เพียงเงื่อนไข & ข้อจำกัดที่สมเหตุสมผลเท่านั้น ซึ่งจำต้องสอดคล้องกับนโยบายแห่งรัฐ ที่ชัดแจ้งแล้วว่า มีบทบัญญัตินั้นมา เพื่อประโยชน์มหาชน.”
ต่อจากนี้คือ Concept Paper สำหรับการสัมมนา ซึ่งเปิดกว้างแก่ผู้สนใจทั่วไป โดยเฉพาะท่านที่มุ่งมั่นจะช่วยเผยแพร่ความรู้ & ความคิดว่า ผู้พิพากษาไทยควร:
ท่านที่สนใจเข้าร่วมสัมมนา กรุณาติดต่อขอสำรองที่นั่งได้ที่:
โครงการสัมมนาทางวิชาการ
เรื่อง
องค์ความรู้แก้ปัญหาทางปฏิบัติเพื่อตีความวลี “ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ”
พิเชษฐ เมาลานนท์, นิลุบล ชัยอิทธิพรวงศ์ & พรทิพย์ อภิสิทธิวาสนา
ทีมวิจัย 3 คนแห่งคณะนิติศาสตร์, มหาวิทยาลัยนีกาตะ, ประเทศญี่ปุ่น
ทีมผู้รับผิดชอบในการเขียน Concept Paper
ด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (โดยคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม) กับสภาทนายความ (โดยสำนักงานสิทธิมนุษยชน) ได้ร่วมมือกันในโครงการศึกษาใหม่ในเรื่อง “ตุลาการไทยในฐานะผู้ตัดสินคดีเพื่อพิทักษ์สิทธิมนุษยชน” ซึ่งเป็นหัวข้อที่เกี่ยวพันกับ 2 ประเด็น คือ
แต่ในการศึกษานี้ เราตระหนักดีว่า แม้รัฐธรรมนูญไทยในขณะนี้ จะมีบทบัญญัติให้สิทธิ-เสรีภาพแก่ชนชาวไทยไว้ในหลายมาตรา แต่ตุลาการไทยย่อมไม่สามารถตัดสินคดีที่พิทักษ์สิทธิมนุษยชนได้โดยสะดวก เพราะบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหลายมาตรามีวลี “ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ."
ด้วยผลของวลีนี้ แม้ตุลาการไทยประสงค์จะตัดสินคดีที่พิทักษ์รักษาสิทธิ-เสรีภาพตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ แต่ย่อมติดขัดในปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาล อาจ ยังไม่มีอำนาจ ปรับใช้บทบัญญัติเหล่านั้นในทันทีไปได้เลย เพราะ อาจมีข้อผูกมัด ในหลักนิติศาสตร์ว่า “ต้องคอยกฎหมายลูกก่อน” ทำให้ตุลาการไทยหลายท่าน จำต้องตัดสินคดี โดยตีความไปว่า “ต้องคอยกฎหมายลูกก่อน."
ความไม่แน่ใจในเหตุผลทางวิชาการ ที่ต้องตีความเช่นนี้ มีความเด่นชัดในทุกภาคส่วนของสังคมไทย โดยเฉพาะในหมู่ท่านผู้พิพากษาเอง ที่จำต้องตอบคำถามต่อสาธารณชน ด้วยความไม่มั่นใจในหลักวิชาการเสมอมา เพราะหาหลักใดๆในเชิงวิชาการมาอ้าง ไม่ได้ ว่าการตีความเช่นนั้น มีความถูกต้องแล้ว ด้วยเหตุผลเช่นไร อธิบายได้แต่ว่า “เพราะกฎหมายเขียนอย่างนั้น.”
ภายใต้ความไม่ชัดเจนเช่นนี้ เป็นที่น่าเสียใจว่า ตุลาการไทยหลายท่าน ได้ตกลงใจเลือกวิธีตีความตามตัวอักษร (Literal Interpretation) เพียงง่ายๆ และตรงไปตรงมา ว่า “ต้องคอยกฎหมายลูกก่อน” แต่ไม่สามารถให้อรรถาธิบาย ในเชิงวิชาการนิติศาสตร์ได้.
แต่คำตัดสินตามตัวอักษรที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ ย่อมมีผลกระทบต่อประชาชนชาวไทย เป็นอันมาก เพราะทำให้สิทธิ-เสรีภาพของชนชาวไทยในรัฐธรรมนูญหลายมาตรา เป็นหมันเรื่อยมา แม้ว่าจะบังคับใช้รัฐธรรมนูญมากว่า 8 ปีแล้วก็ตาม.
ทุกภาคส่วนในสังคมไทย ต่างตระหนักชัดร่วมกันว่า 3 เสาหลักแห่ง เจตนารมณ์ของประชาชน ในรัฐธรรมนูญไทยในขณะนี้ ได้แก่
การที่รัฐธรรมนูญผ่านมา 8 ปี แต่รัฐสภาไทยและรัฐบาลไทย แทบไม่แก้ปัญหาอะไรให้ “ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” ส่วนศาลไทยท่านก็ตัดสินง่ายๆ ว่า “ยังไม่มีกฎหมายลูก” ย่อมกลายเป็นว่า รัฐสภามีอำนาจบิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชน หรือทำให้เจตนารมณ์ของประชาชนเป็นโมฆะได้ โดยไม่ยอมออกกฎหมายลูก ตามที่บังคับไว้ในรัฐธรรมนูญ.
ปัญหาที่รัฐสภาชักช้าไม่ออกกฎหมายลูก ให้แก่บทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่มีวลี “ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” นี้ ศาลแห่งสหรัฐอเมริกา ได้วางหลักไว้ชัดว่า ถ้าไม่ตัดสินให้ บังคับใช้ในทันทีไปได้เลย โดยไม่ผูกมัดต้องคอยกฎหมายลูก (ยกเว้นในบางกรณี) เช่นนี้แล้ว ก็จะเท่ากับว่า
ส่วนสถาบันตุลาการไทย เป็นที่น่าเสียใจว่า ท่านยังไม่สามารถให้อรรถาธิบายได้ด้วยความมั่นใจ ว่า “ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” ผูกมัดต้อง “คอยกฎหมายลูก” เสมอไปหรือไม่ เพราะเหตุใด ในเชิงวิชานิติศาสตร์.
สภาพเช่นนี้ ย่อมก่อให้เกิด ความไม่เชื่อมั่น ต่อวงการตุลาการไทย ในเชิงวิชาการ เพราะการวิจัยค้นคว้าหาความรู้ Comparative Law Research ให้ถึงแก่น เพื่อแก้ปัญหาในคดี ย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของตุลาการ ในการตัดสินคดี ดังเป็นที่ชัดแจ้งอยู่แล้ว.
แต่กระนั้น เราก็ตระหนักดีว่า การศึกษาวิจัยในลักษณะ Comparative Law Research ควรมาจากนักวิชาการนิติศาสตร์ไทยด้วย ทั้งนี้ เพื่อช่วยสนับสนุนข้อมูลเชิงวิชาการ ให้ท่านผู้พิพากษาไทย ได้ตัดสินคดีที่พิทักษ์สิทธิ-เสรีภาพ โดยไม่ติดขัดว่าจะ “ต้องคอยกฎหมายลูกก่อน”
ขณะนี้ เป็นที่น่ายินดีว่า มีนักวิชาการนิติศาสตร์ไทยหลายท่าน ได้วิจัยเชิงวิชาการเพื่อหาคำตอบในทางปฏิบัติได้ว่า:
ทำอย่างไรศาลไทยจึงจะบังคับใช้บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่มีวลี “ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” ในทันทีไปได้เลย
โดยไม่ผูกมัดต้องคอยกฎหมายลูก
ทั้งนี้ ดังเช่น
เหตุนี้ เราจึงกำหนดการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง องค์ความรู้แก้ปัญหาทางปฏิบัติเพื่อตีความวลี “ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” ขึ้น โดยมี 7 องค์กรร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ได้แก่
ในการนี้ เราได้กำหนดเป้าหมายการสัมมนาไว้ 6 ประการ ดังนี้
การสัมมนานี้ มีกำหนดจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา 13.00 – 18.00 น. ณ ห้องประชุม 101 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เชิงสะพานหัวช้าง ถนนพญาไท (ตึก ป.ป.ง.) ดังปรากฏรายละเอียดตามเอกสารที่แนบมาพร้อมนี้.
คณะเจ้าภาพผู้จัดการสัมมนานี้ ตระหนักดีว่า ผู้พิพากษาไทยย่อมมีความคิดและจิตใจหลากหลาย บางท่านก็หมั่นศึกษาหาความรู้ บางท่านก็ไม่, บางท่านก็เปิดใจรับฟังผู้อื่น บางท่านก็ไม่, บางท่านก็ Liberal ส่วนบางท่านก็ Conservative อย่างเห็นได้ชัด.
เราจึงตกลงร่วมกันเชิญ ท่านผู้พิพากษา จรัญ ภักดีธนากุล มาเป็นวิทยากร เพราะท่านเป็นตุลาการที่เปิดใจรับฟัง, มุ่งมั่นพัฒนาวงการตุลาการไทย, ให้ความรู้ต่อสาธารณชนเสมอมา, และมีจิตใจเป็นธรรม.
คณะเจ้าภาพผู้จัดการสัมมนานี้ มีความหวังว่า ท่านจะให้ความสนใจ ในการเข้าร่วมสัมมนาโดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อร่วมกันสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ในการพิทักษ์รักษาสิทธิ-เสรีภาพของประชาชนไทย ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ.
ไม่มีความเห็น