เมื่อวันที่ ๑๑ ธค. ศนจ.ชลบุรี ได้เชิญคณะกรรมการโครงการบริหารและจัดการความรู้ ประชุมเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันและหาแนวทางในการดำเนินการให้บรรลุผล โดยมีท่านผอ.ดิศกุล เป็นประธาน และงานนี้อ.สุพรรณ เป็นฝ่ายเลขาฯโครงการ ผู้ร่วมประกอบด้วยคณะกรรมการแต่ชุด เช่น คณะกรรมการอำนวยการ ส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารศบอ. คณะทำงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการความรู้ ระดมทุนทางสังคม และเทคโนโลยี ก็จะประกอบไปด้วยผู้ที่มีความรู้ความสามารถของแต่ละคณะ ศบอ.พานทอง ก็มีอ.จรัสศรี หัวใจ เข้าร่วมเป็นคณะทำงานด้านเทคโนโลยีด้วย สาระสำคัญของการประชุม คือท่านผอ.ดิศกุลได้แจ้งวัตถุประสงค์ของโครงการ สร้างความเข้าใจในการKM ให้มีความเข้าใจตรงกันและความสำคัญของการบริหารและจัดการความรู้ และปรึกษาหารือในการจัดศาลากลางน้ำเป็นศาลา KM ของแต่ละคณะทำงาน โดยเฉพาะคณะทำงานเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เป็นหลัก ส่วนคณะอื่น ๆ ให้ทำงานไปควบคู่ไปด้วย ให้มีการรายงานความคืบหน้าในที่ประชุมประจำเดือน
ในเรื่องของ KM`รู้สึกว่าจะเริ่มฮือฮาประมาณ10กว่าปีนี่เอง แต่ความเป็นจริงน่าจะเริ่มใช้กันในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง อเมริกาเริ่มเอาแนวทางการdialogมาใช้วิเคราะห์ภาระกิจแต่ละวันว่ามีอะไรบกพร่องควรแก้ไขหรือจะปรับยุทธวิธีการรบวันรุ่งขึ้นอย่างไรจึงจะชนะข้าศึก ขบวนการนี้เรียกว่า AAR.(After Action Review)จนกระทั่งชนะสงคราม การdialogสามารถนำมาใช้ได้ทุกภาระกิจ สังคม กิจการแม้แต่ในครอบครัว เป็นการเปิดใจหาสาเหตุของปัญหาจนสามารถสรุปวิธีการแก้ไข สอดคล้องกันทุกฝ่าย
ต่อมาคนไทยเรานี่แหละ นำการdialogมาคิดขบวนการBAR(Before Action Review)เป็นที่กว้างขวางมากในกระทรวงสาธารณสุข ทำการวินิจฉัยโรคหรือก่อนทำการผ่าตัดคนไข้ ไม่ใช่นึกจะผ่าก็ผ่านะครับ ต้องมีการประชุม ตกลงกันใช้หมอทางไหน ใครเป็นคนให้ยาสลบ จะใช้วิธีการผ่าตัดแบบไหน ฯลฯ (กว่าจะสรุปเสร็จคนไข้ม่อยซะก่อนก็ไม่รู้) (*_*)
ในเรื่องKMกระทรวงสาธารณสุขไปไกลแล้ว แต่กระทรวงศึกษายังไปไม่เท่าไร เรียกว่าช้ากว่าก็แล้วกัน รายละเอียดคงต้องศึกษากันเพิ่มเติมนะครับ เพราะมันกว้างขวางมากทีเดียว เพราะKMเป็นขบวนการขับเคลื่อนการพัฒนาครอบครัวชุมชน สังคม ประเทศ ได้อย่างมีระบบโดยมีองค์ประกอบสำคัญคือ
1. คน 2.เทคโนโลยี 3. กระบวนการความรู้
ทั้ง3องค์ประกอบนี้ กว้างขวางยิ่งใหญ่มากเป็นกระบวนการที่ไม่มีวันสิ้นสุดในการสร้างความเจริญ เริ่มจากคนคนหนึ่งไปสู่คนหมู่ใหญ่ที่มีความคิดความรู้ไปพัฒนาความรู้นั้นนำไปสู่ขบวนการทางเทคโนโลยี ไปสร้างความคิดสู่ชนกลุ่มใหญ่ ชนกลุ่มใหญ่ก็จะมีคนคิดความรู้ใหม่ๆเพิ่มมาอีก ไปสอนชนรุ่นหลัง ชนรุ่หลังก็จะพัฒนาความรู้นั้นให้แตกกระจัดกระจาย ไม่รู้จักจบสิ้น สรุปรูปแบบของความรู้ ก็คือ
- การหาความรู้ จากทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
- สร้างความรู้ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นมา
- การจัดเก็บเป็นหมวดองค์ความรู้
- นำไปใช้อย่างรวดเร็ว
- พัฒนาผลงานให้สูงขึ้น
เห็นง่ายๆจากสวิทย์ไฟฟ้าที่เราปิด-เปิดกันอยู่ทุกวันนี่แหละ นำแนวทางสร้างนาฬิกาดิจิตอลเป็นที่ฮือฮาในยุค 30ปีมาแล้ว จนมาถึงการใช้อินเตอร์เนทในปัจจุบัน จนเรียกว่า โลกไร้ขีดจำกัดทางการสื่อสารจริงๆ
ไม่แน่นะ อีกหน่อยคนจะล่องหนหายตัวได้จริงๆก็ได้โดยทางวิทยาศาสตร์
เมื่อก่อนพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่ามนุษย์จะหูทิพย์ตาทิพย์ มากว่า 2550ปีอีก แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะ เป็นไง ท่านชายโกหกภรรยาไม่ได้เลยว่าอยู่ที่ไหนเพราะแม่มีโทรศัพท์เป็นแผนที่รู้ตำบลที่อยู่เราทุกจุด จริงป่ะ