วันนี้ เป็นอีกวันที่ ได้ฉลองวันหยุดอยู่กับบ้าน ตื่นเช้า ๆ อากาศก็ยังเย็น ๆ แต่ไม่จัดว่าหนาวเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา แค่มายืนตรงระเบียงหลังบ้าน หมอกยังไม่จางไปไหน แต่ตะวันเริ่มโผล่พ้นขอบดอย ขึ้นมาแล้ว อีกซักชั่วโมงหมอกตรงยอดดอยก็คงจะค่อย ๆ จางไป
แดดตอนเช้า ๆ เป็นแดดที่มีประโยชน์ที่สุด ว่าแล้วก็ไม่รอท่า ไปจัดแจงชงกาแฟ espresso แบบ บ้าน ๆ มานั่งกินอาบแดด นั่งมองมหกรรม แดดไล่หมอก ออกจากยอดดอย จากระเบียงบ้านเราเอง ...อิอิอิ ...วิว สวยราคาถูกค่ะ ..ไม่ต้องถ่อสังขารไปไหน ..อยู่บ้านก็มีให้ดู ..กับกาแฟดำร้อน ๆ ..หนังสือซะเล่ม..ช่างสุนทรียะ ดีแท้
พูดถึง espresso กาแฟ มาตรฐาน มันก็ไม่ใช่ภาษาบ้านเรา ฟังดูก็ งงดีแท้ ..ว่าคำนี้มาจากไหน แต่ฟังแล้ว โดยความชินหูหรืออะไรก็แล้วแต่ มันสื่อถึง ดำ เข้ม ขม สุขุม ว้าว เกินเหตุไปเปล่า เนี่ย มันต่างกับอย่างอื่นอย่างไร เลยไปหาคำตอบ (ให้ตัวเอง เพราะ ไม่มีใครถามหรอกค่ะ อิอิ)
คำว่า espresso นั้นมาจากภาษาลาติน แปลว่าบีบคั้นมันออกมา (to press out) น่าจะเรียกว่า กาแฟคั้น เพราะว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ ผงกาแฟ 2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำ 1 1/2 ออนซ์ ( 45 cc. โดยประมาณ)ก็ได้ espresso 1 ถ้วย รสที่ได้: thick, rich and smooth ถ้า พูดง่าย ๆ ว่า espresso กินให้ได้รสชาติ แท้ ตั้งเข้ม ขม และเสิร์ฟ มาในแก้วเล็กติ๊ดเดียว ซึ่งตามความคิด ความรู้สึกส่วนตัว จะไม่รู้สึก สะจายย เท่าไหร่ค่ะ
ที่รู้สึกไม่สะใจ ก่อนอื่นคงต้องมาดู วิถี การดื่มของแต่ละคนล่ะคะ เพราะ espresso ดั้งเดิม ดื่มให้ถูกต้อง เค้ากระดกเข้าลำคอไปรวดเดียวเลย เหตุผลคือการดื่มรวดเดียวจะหวานกว่าจิบค่ะ ยายกาแฟเคยลองแล้ว เป็นจริงดังคำว่าขาน แต่ไม่ประทับใจ กระดกเสร็จ หน้าเบี้ยวเหยเกเลย ม่ายเห็นอร่อย ขาดความละเมียดละไม (เป็นความคิดเห็นส่วนตัว คอกาแฟพันธุ์แท้ อนุญาตให้ยี้ได้ค่ะ อิอิ)
สรุปว่าความชอบ ของแต่ละคน ต่างกันตามวิถี และที่มาค่ะ ของยายกาแฟ ยังไง ๆ ถ้ายก espresso ดั้งเดิม มาให้ จะขอเติมน้ำอีก 45 cc. ค่ะ เติมน้ำชื่อก็เปลี่ยนเลยกลายเป็น Americano วุ้ย อย่ายึดติดกับชื่อเลย เดี๋ยวจะพาลเสียอรรถรส
ว่าแล้วก็แถมเคล็ดลับความอร่อย ซะหน่อยดีกว่า แบบว่าอยู่ที่ไหนก็อร่อยได้
1. น้ำที่ใช้ชงกาแฟควรเป็นน้ำสะอาด มีแร่ธาตุเจือปนอยู่ในระดับพอเหมาะ ไม่ควรใช้น้ำกระด้างเพราะมีแร่ธาตุเจือปนมากเกินไป และไม่ควรใช้น้ำกลั่นเพราะบริสุทธิ์เกินไป เรื่องน้ำนี่ยอมรับเลยว่าสำคัญมาก กาแฟเยี่ยมไหนเจอกลิ่นเคลอรีนนี่ เททิ้งได้เลย(ถ้าไม่เสียดายนะ อิอิ)
2. อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะกับการชงกาแฟ ควรอยู่ระหว่าง 92-96 องศาเซลเซียส หรือประมาณ 94 องศาเซลเซียส (ถ้าหาไม่ได้ ก็เอาแค่กาแฟละลายก็พอไหว หยวน ๆ )
3. ควรอุ่นถ้วยกาแฟทุกครั้งเพื่อรักษาอุณหภูมิของกาแฟ ถ้วยกาแฟที่อุ่นจะช่วยให้ครีมกาแฟของเอสเปรสโซ่หนาและคงอยู่ได้นานอีกด้วย
4. ไม่ควรนำกาแฟที่ชงกาแฟที่ชงเสร็จแล้วไปอุ่นหรือทำให้น้อยอีกครั้งเพราะจะทำให้กลิ่นและรสชาติเปลี่ยนไป หากดื่มกาแฟไม่หมดในทันที ควรเก็บน้ำกาแฟในภาชนะที่เก็บความร้อนได้ เช่นกระติก หรือแก้ว Thermos (แก้วรักษาอุณหภูมิ)
ถ้าเป็นการใช้เครื่องชงก็มีข้อควรคำนึงเพิ่มเติมมาด้วยค่ะ
5. ใช้เครื่องมือที่สะอาดอยู่เสมอ
6. ใช้กาแฟที่บดอย่างถูกต้องสำหรับชนิดของเครื่องชงที่ใช้และกาแฟที่ใหม่สดอยู่เสมอในปริมาณที่เหมาะสม
7. หากใช้เครื่องชงกาแฟชนิดที่อุ่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ควรอุ่นกาแฟนั้นนานเกิน 30 นาที เนื่องจากกาแฟจะเริ่มเปลี่ยนไปแปลงหลังจากอุ่นไปได้ประมาณ 15 นาที กาแฟที่ถูกอุ่นจะมีกลิ่นและรสชาติที่เปลี่ยนหรือเสียไป นั่นคือ กลิ่นไม่หอม รสชาติเปรี้ยวและขม สีขุ่นโคลนไม่ใส
ว่าแล้วก็ คอเอสเปรสโซ หรือ คอกาแฟรสชาติอื่น บ้านใคร ก็บ้านใครนะคะ ขอยกแก้วกาแฟชนข้ามเขาหน่อยเป็นไร ขอให้สดใส และตาสว่าง เย้ เย้
"คอกาแฟ จงเจริญ"
สวัสดีครับ
วันนี้ค้นพบวิธีใหม่
อมช็อกโกแลตไว้ในปาก แล้วก็ดื่มกาแฟดำ หรือเอสเปรสโซ ก็แล้วแต่ ได้อารมณ์กาแฟอีกแบบหนึ่ง อิๆๆๆ
กาแฟฟรี อร่อยที่สุดจ้ะน้องกุ้ง อิอิ
หวัดดีครับ
ลืมบอกไปว่า
กาแฟฟรีของพี่หนิงนี่ หอยโข่งไม่เกี่ยวน๊า...กุ้ง
อากาศเย็นๆ กับเอสเปรสโซร้อนๆท่ามกลางขุนเขา ได้บรรยากาศจริงๆครับ
สวัสดีค่ะคุณหมอ
แอบย่องมาตอนดึก ๆ เพราะกินกาแฟเอสเปรสโซ่ ตอนบ่ายมา ตอนกลางคืนเลยตาค้างฮ่าๆๆๆ (จริง ๆ กินหรือไม่กินค่าเท่ากัน ทำให้มันดูโก้ ๆ เข้ากับชื่อบันทึกหน่อย เหอๆ เพราะเป็นประเภทนกฮูกอยู่แล้ว อิอิ.)
เอสเพรสโซ่ สื่อถึง ดำ เข้ม ขม สุขุม ว้าว เหมือนเราหรือเปล่า ฮ่าๆ สงสัยจะเหมือนแค่ ดำเข้ม ขมเท่านั้น อิอิ และเป็นพวกบีบคั้นหรือเปล่าไม่แน่ใจซ้าแล้วววว
สำหรับราณีไม่เคยต้องอุ่น กินตอนร้อน ๆ ไม่เคยเย็นก่อนซักที เพราะถ้าอุ่นก็เททิ้ง ม่ายกินเลย อิอิ เลยไม่รู้ว่าตอนอุ่น ๆเป็นไง เหอๆๆๆๆ แบบตามเกาะติดสถานการณ์ ค่ะ เพราะคอกาแฟ เลยเข้ากับคนเขียนบันทึกได้ อิอิ