พ.ร.บ. มน. |
|
พ.ร.บ. มหิดล |
|
มาตรา ๑๔ | รายได้ของมหาวิทยาลัยมีดังนี้ (๑) เงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้เป็นรายปี (๒) เงินและทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้แก่มหาวิทยาลัย |
มาตรา ๑๖ |
รายได้ของมหาวิทยาลัย มีดังนี้ |
(๓) เงินกองทุนที่รัฐบาลหรือมหาวิทยาลัยจัดตั้งขึ้น และรายได้หรือผลประโยชน์จากกองทุนดังกล่าว | (๓) เงินกองทุนที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้น และรายได้หรือผลประโยชน์จากกองทุนดังกล่าว | ||
(๔) ค่าธรรมเนียม ค่าบำรุง ค่าตอบแทน เบี้ยปรับ และค่าบริการต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย | (๔) ค่าธรรมเนียม ค่าบำรุง ค่าตอบแทน เบี้ยปรับ และค่าบริการต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย | ||
(๕) รายได้หรือผลประโยชน์ที่ได้จากการร่วมลงทุนหรือการลงทุน และจากทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย |
(๕) รายได้หรือผลประโยชน์ที่ได้มาจากการดําเนินการตามมาตรา ๑๕ (๔) และ (๑๐) และจากทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย | ||
(๖) รายได้หรือผลประโยชน์ที่ได้จากการใช้ที่ราชพัสดุหรือจัดหาประโยชน์ในที่ราชพัสดุซึ่งมหาวิทยาลัยปกครอง ดูแล หรือใช้ประโยชน์ | (๖) รายได้หรือผลประโยชน์ที่ได้จากการใช้ที่ราชพัสดุหรือจัดหาประโยชน์ในที่ราชพัสดุซึ่งมหาวิทยาลัยปกครอง ดูแล หรือใช้ประโยชน์ | ||
(๗) รายได้หรือผลประโยชน์อย่างอื่น เงินอุดหนุนทั่วไปตาม (๑) นั้น รัฐบาลต้องจัดสรรให้แก่มหาวิทยาลัยโดยตรงเป็นจำนวนที่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัยและการพัฒนามหาวิทยาลัย เพื่อประกันคุณภาพการศึกษา |
(๗) รายได้หรือผลประโยชน์อย่างอื่น เงินอุดหนุนทั่วไปตาม (๑) นั้น รัฐบาลพึงจัดสรรให้แก่มหาวิทยาลัยโดยตรงเป็นจำนวนที่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัยและการพัฒนาการอุดมศึกษาที่อยู่ในความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัย |
||
ในกรณีที่รัฐบาลได้ปรับเงินเดือน เงินประจําตําแหน่ง ค่าตอบแทนหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดแก่ข้าราชการ ให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณในลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไปเพิ่มเติมให้ แก่มหาวิทยาลั ยในสัดส่วนเดียวกันเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้พนักงานมหาวิทยาลัยด้วย | |||
รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ | รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ ต้องนําส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ | ||
ในกรณีรายได้ตามวรรคหนึ่งมีจำนวนไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของมหาวิทยาลัย และค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม และมหาวิทยาลัยไม่สามารถหาเงินจากแหล่งอื่นได้ รัฐบาลพึงจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเพิ่มเติมให้แก่มหาวิทยาลัยตามจำนวนที่จำเป็น | ในกรณีที่รายได้ตามวรรคหนึ่งมีจํานวนไม่เพียงพอสําหรับค่าใช้จ่ายในการดําเนินการของมหาวิทยาลัยและค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม และมหาวิทยาลัยไม่สามารถหาเงินจากแหล่งอื่นได้ รัฐบาลพึงจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปเพิ่มเติมให้แก่มหาวิทยาลัยตามความจําเป็นของมหาวิทยาลัย | ||
ในกรณีที่รัฐบาลได้ปรับเงินเดือน เงินประจําตําแหน่ง ค่าตอบแทนหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดแก่ข้าราชการ ให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณในลักษณะเงินอุดหนุนเพิ่มเติมให้แก่มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นรายจ่ายดังกล่าวให้พนักงานมหาวิทยาลัยด้วย |
คลายเครียด
สัญลักษณ์แสดงความแตกต่างระหว่างคนยุโรปกับคนเอเซีย :
การแสดงอารมณ์โกรธ ไม่พอใจ
คนยุโรป |
คนเอเชีย |
ได้ตามอ่านของอาจารย์มาหลายวันแล้วครับ ได้เห็นความแตกต่างเพิ่มเติม ของ พ.ร.บ.
แต่วัตถุประสงค์หลักของการออกนอกระบบในยุค IMF ก็เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาล โดยให้มหาวิทยาลัยสามารถบริหารงาน และเลี้ยงดูตัวเองได้ (ใช่ไหม ? ครับ) ซึ่งในช่วงแรก รัฐจะเป็นผู้ลงทุนให้ตามความต้องการของมหาลัย แล้วค่อย ๆ ลดเงินสนับสนุนลง แต่จากข้อความนี้ เมื่อมหาวิทยาลัยออกนอกระบบแล้ว แปลว่า มหาวิทยาลัยจะต้องหาเงินเองใช่หรือไม่? เป็นเหมือนมหาวิทยาลัยเอกชนใช่หรือไม่? ตอนนี้ทราบแล้วใช่ไหมคะ ว่าไม่ใช่แน่นอนค่ะ รัฐจะต้องอุดหนุน (ด้วยเงินภาษีอากร) เหมือนเดิม แถมถ้าไม่พอใช้ รัฐต้องให้เพิ่มให้พอด้วย ซึ่งก็เป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายของรัฐมากขึ้น (จากการขึ้นเงินเดือนให้พนังงาน สายต่าง ๆ ) เมื่อรวม ๆ กันของทุกมหาลัยแล้ว จำนวนเงินมากขึ้นเกือบเท่าตัว แล้วรัฐจะหาเงินมาจากไหน ครับ แต่ถ้าเราบริหารงานแล้วค่อย ๆ ลดค่าใช้จ่ายของรัฐลงได้คงจะดี โดยที่ต้องพัฒนาการศึกษาให้เพิ่มขึ้น ปัญหาอยู่ที่การบริหารงานอย่างไรให้ดีขึ้น ???? การใช้จ่ายเงินอุดหนุนการศึกษาให้ถูกประเภท ให้ถูกวิธี จึงจะเป็นการทำงานเพื่อช่วยให้สังคม ให้ประเทศไทยของเราดีขึ้นครับ ปล. การได้เงินงบประมาณสนับสนุนมาก ๆ ไม่ได้หมายความความจะทำให้การศึกษาดีขึ้นครับ แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการจัดการอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดครับ...
นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ ที่อาจารย์ภูคาติดตามอ่านบันทึก ซีรี่ส์ "ออกนอกระบบ" ของดิฉันมาโดยตลอด
และที่ดิฉันยินดีเป็นอย่างที่สุดก็เพราะ อาจารย์เป็น "อาจารย์" ท่านแรกในมหาวิทยาลัยนเรศวร (ที่เปิดเผยตัว) ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้
ดิฉันเห็นด้วยกับอาจารย์ค่ะว่า แม้ระบบจะดี ถ้ากลไก ฟันเฟืองเสื่อมสภาพ ก็ไปไม่รอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ผู้บริหาร" ระดับสูงของมหาวิทยาลัย นี่เป็นสัจธรรม ไม่ว่าเราจะอยู่ในระบบราชการเหมือนเดิม หรือออกนอกระบบก็ตาม
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของประเทศไทยเรา ที่เป็นภาวะคุกคามของระบบการศึกษาก็เช่นเดียวกัน ดูเหมือนจะยังมองไม่เห็นอนาคตที่สดใสภายในชั่วอายุของเรา (กระมัง) ดังนั้นไม่ว่าเราจะอยู่ในระบบเดิม หรือออกนอกระบบ เศรษฐกิจก็ยังคงถดถอยต่อไป
เพียงแต่....ระบบที่มีผู้รู้เพียรพยายามสร้างขึ้น (หลายสิบปีมาแล้ว) เพื่อฉุดคุณภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ตกต่ำลงให้สูงขึ้นภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ก็คือ การออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยนั่นเอง
ระบบที่ ออกแบบให้เราใช้เงินเท่าเดิม แต่สามารถคัดสรรคนดีดี มีคุณภาพ หรือให้กำลังใจคนดีดี มีคุณภาพ ที่ทำงานอยู่แล้ว ให้ทำงานได้อย่างมีความสุขมากขึ้น โดยสามารถโละคนที่ไม่มีประสิทธิภาพออกไปจากระบบได้
ถ้าเราสังเกตความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเราขณะนี้ให้ดี เราจะเห็นความเชื่อมโยงที่ทำนายอนาคตได้ ไม่ว่าระบบประกันคุณภาพการศึกษา ระบบการทำคำรับรองปฏิบัติราชการ การปรับปรุงระบบการจำแนกตำแหน่งและค่าตอบแทนของข้าราชการ ระบบการเบิกค่ารักษาพยาบาลการเบิกค่าเช่าบ้านที่กลั่นกรองเข้มงวดมากขึ้น การจำกัดประเภทยาที่สามารถเบิกได้ ฯลฯ ล้วนเป็นสัญญาณเตือนให้เราทราบว่า ในอนาคต เงินเดือน สวัสดิการ ค่าตอบแทนต่างๆ จะได้รับมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับสมรรถนะของคนทำงานเป็นสำคัญ เงินมีให้แต่กับคนทำงานอย่างคุ้มค่าเท่านั้น คนไม่ทำงานไม่อาจลอยนวลอยู่ต่อไปได้
คนรุ่นกลางเก่ากลางใหม่ ซึ่งมีอายุ อยู่ระหว่าง 45 - 55 ปี ในทศวรรษนี้ จะเป็นคนที่อยู่คาบเส้นความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จึงเป็นธรรมดา ที่จะสับสน วุ่นวายใจ และบ้างอาจยอมรับไม่ได้กับความเปลี่ยนแปลง
จริงอย่างที่อาจารย์กล่าวว่า "การได้เงินงบประมาณสนับสนุนมาก ๆ ไม่ได้หมายความความจะทำให้การศึกษาดีขึ้น แต่ขึ้นอยู่กับวิธีการจัดการอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด"
จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง สำหรับผู้จัดการระบบ ในมหาวิทยาลัยนอกระบบ เพราะเขาจะไม่มีวันได้รับงบประมาณมากๆ มาบริหารงาน (นอกจากว่าเขาจะสามารถหาเองได้) แต่เขาต้องมีวิธีการจัดการให้การศึกษาดีขึ้น (ทัดเทียมนานาชาติเสียด้วย) ภายใต้งบประมาณเท่าเดิม (ก็บอกแล้วงัยว่า.....ไม่น้อยกว่าเดิม)
ขอขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งที่เข้ามาให้ความคิดเห็น ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือขัดแย้ง ดิฉันคิดว่า ทุกถ้อยคำมีประโยชน์และมีคุณค่ามาก
สวัสดีอีกบันทึกหนึ่งครับ อาจารย์มาลินี
อาจารย์คิดว่าเป็นไปได้ไหมครับ :)
สวัสดีครับอาจารย์
ผมได้อ่านบันทึก การบริหารการเงินและการระดมทุนเพื่อการบริหารอุดมศึกษา ขออาจารย์ มาติดใจในเรื่องหนึ่งคือ
ปัจจุบัน สัดส่วนค่าใช้จ่ายโดยรัฐ : ผู้เรียน ประมาณ 75 : 25 สัดส่วนลงทุนโดยรัฐ : เอกชน ประมาณ 5 : 1 และพบว่าทรัพยากรเพื่อการอุดมศึกษาจาก แหล่งในข้อ (4) (5) และ (6) ยังมีน้อยมาก
ในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการของมหาวิทยาลัย มีสัดส่วนดังนี้
รัฐบาล : ผู้เรียน : ขายบริการวิชาการ
1 : 1 : 1
ปัจจุบันรัฐลงทุน 75 % เมื่อเทียบกับประเทศที่มีการพัฒนา รัฐลงทุนเพียง 33 % โดยประมาณ สิ่งที่น่าสังเกตุคือ การขายบริการวิชาการ 33 % ซึ่งในมหาลัยของไทย มีสักกี่แห่งที่สามารถทำได้ สมมุติ ถ้างบลงทุนการศึกษาสำหรับอุดมศึกษาแห่งหนึ่งประมาณ 2000 ล้านบาท เราจะต้องหารายได้จากการขายบริการวิชาการให้ได้ ประมาณ 660 ล้านบาทต่อปี จุดนี้จะเป็นตัวชี้วัดการบริหารงานของผู้บริหาร.... ปัจจุบัประเทศเรามีผู้บริหารงานที่ใช้และจัดการงบประมาณเก่ง แต่เรื่องการหาเงิน(รายได้) ในสถาบันการศึกษาเรายังต่ำมาก ๆ (ตามความเป็นจริง) ซึ่งอาจมีหลายปัจจัย เช่น
- การติดยึดกับการใช้เงินมากกว่าการหาเงิน(จากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่ของรัฐ) มาใช้
- มุมมองหรือคุณภาพของผู้บริหารที่มีระบบการคิดแบบวิชาการ ไม่ใช่แบบธุรกิจ(การค้า) ซึ่งตรงจุดนี้จะต้องแบ่งให้ออกว่า การศึกษาไม่ใช้การค้า แต่จะต้องหารายได้มาเพื่อพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพแบบธุรกิจ
- มุมมองของบุคลากรในสถาบันการศึกษาเองยังมองเป็นเรื่องภายในสถาบัน เป็นเรื่องของผู้บริหาร ทำให้ไม่เกิดความมีส่วนร่วมในการทำงานร่วมกัน(ทั้งเรื่องปฏิบัติ และแนวคิด) ส่วนใหญ่ทำงานตามคำสั่ง ซึ่งมุมมองที่ค่อนข้างแคบ ไม่ได้เปรียบเทียบกับมหาลัยอื่น ๆ หรือกับประเทศอื่น ๆ ทุกคนรู้ปัญหา แต่ไม่มีช่องว่างที่จะให้แสดงออก โดยไม่ต้องกังวลกับแรงกดดันต่าง ๆ (กลัวผู้บริหาร) เป็นต้น
โดยส่วนตัวผมคิดว่าบุคลากรต้องการให้เกิดการพัฒนาและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นครับ
ชอบมากเลยค่ะ กับประโยคสุดท้ายของอาจารย์ที่ว่า
"โดยส่วนตัวผมคิดว่าบุคลากรต้องการให้เกิดการพัฒนาและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นครับ"