ครูตัวอย่างเศรษฐกิจพอเพียง (2)


น.ส.พรรณา แสงนภาเพ็ญ
 
                                                                                                               

       วันนี้ดิฉันขอนุญาตเล่ารายละเอียดการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในวิถีการดำเนินชีวิตของดิฉันตลอด50ปีเต็มที่ดิฉันจำได้  ดิฉันได้คุณแม่อบรมสั่งสอนและเป็นตัวอย่างที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆจนดิฉันได้ข้อสรุปว่า ดิฉันโชคดีที่มีคุณแม่ดี   ความจริงดิฉันอยากยกย่องท่านให้ทุกคนทราบว่า  ท่านเป็นผู้นำการมีวิถีชีวิตแบบพอเพียงที่พวกเรากำลังร้องเรียกใฝ่หากันอยู่ขณะนี้ ดิฉันได้แบบอย่างจากท่านตอนวัยเด็กก็ไม่ค่อยเข้าใจ  บอกได้คำเดียวว่า ดุ  มาตอนหลังตอนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วท่านเฉลยคำตอบอย่างมีเหตุผลว่า  "รักลูกให้รักเก็บไว้ที่ใจ  แต่เราต้องอบรมสั่งสอนดูแลใกล้ชิดไม่ใช่รักเกินเหตุ ห่วงเกินเหตุทำอะไรก็ไม่ได้ คอยโอ๋ยอมลำบากไม่ให้เด็กทำจนสมัยนี้เด็กๆกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจตนเอง  ไม่สู้ชีวิตขาดความอดทน แก้ปัญหาเองก็ไม่เป็น  พอคราวนี้ดุว่าหน่อยก็จะประท้วง  งอนโกรธไม่พอใจในที่สุดพ่อแม่ยอมแพ้ลูกเป็นอย่างนี้เรื่อยไป  บ้านเมืองก็ได้พลเมืองที่มีคุณภาพแย่ลง  จริงไหมค่ะ  เพื่อไม่เสียเวลาดิฉันขอเล่าประสบการณ์ให้ได้ทราบเพื่อเป็นกรณีศึกษานำไปใช้ได้เลยนะคะ

               ดิฉันมีประสบการณ์นำแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตนับตั้งแต่ในวัยเด็ก ทั้งนี้เพราะ  ดิฉันมีคุณแม่ให้การอบรม สั่งสอน  แนะนำ ตลอดจนทำแบบอย่างให้เห็นตั้งแต่เล็ก  ซึ่งดิฉันได้วิเคราะห์พิจารณาแล้วว่าท่านเป็นแบบอย่างของการเป็นผู้มีการดำเนินชีวิตตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง  กล่าวคือ         ดิฉันมีคุณแม่ซึ่งเป็นคนขยันหมั่นเพียร  กระตือรือร้น  ช่วยหาเลี้ยงครอบครัวตื่นแต่เช้ามืด  (5.00 น.) เพื่อซื้อมะพร้าว ที่ตลาดคลองเตยมาทำน้ำมะพร้าวขายเพื่อเลี้ยงลูกเล็กๆ (12 คน) เพราะตอนนั้นครอบครัวเรามีค่าใช้จ่ายสูงมากเนื่องจากลูกๆของคุณแม่อยู่ในวัยเรียนทุกคน   การไปซื้อของแต่ละครั้งคุณแม่จะให้ลูกๆไปช่วยท่านด้วยโดยผลัดกันไป  ส่วนลูกที่อยู่บ้านท่านจะมอบหมายงานให้ทำ เมื่อถึงบ้านคุณแม่จะสอนปรุงอาหารหรือปรุงอาหารที่รู้จักนำของพื้นบ้านราคาถูกมาดัดแปลงปรุงแต่งให้มีรสชาติอร่อยน่ารับประทาน คุณแม่มักสอนว่าไปที่ไหนคอยเป็นคนช่างสังเกต จดจำแล้วนำมาทดลอง ดังนั้นลูกของคุณแม่ทุกคนอ้วนท้วนโดยทั่วหน้า แถมด้วยการปรุงอาหารเป็นทุกคนไม่ว่าลูกหญิงหรือลูกชาย คุณแม่ยังสอนลูกทำน้ำมะพร้าว  น้ำเก๊กฮวย  ขาย   (สูตรของแม่อร่อยมากเพราะคุณแม่เป็นคนช่างสังเกต นักวิเคราะห์)   ที่สำคัญพวกเราได้สิ่งนี้ช่วยเลี้ยงชีวิตเราให้ได้เรียนกันทุกคน  ขณะที่บ้านขายยาได้รายได้น้อยไม่พอใช้จ่าย ดิฉันเห็นคุณแม่ทำงานทั้งวันไม่เคยเห็นแม่หยุดนั่งพัก หรือปล่อยเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ คุณแม่มักมีโครงการต่างๆให้พวกเราช่วยกันทำ ไม่เคยหยุดนิ่ง บางครั้งพวกเราแอบตั้งฉายาแม่ว่า คุณแม่เจ้าproject” เพราะไม่รู้วันนี้จะพบกับโครงการอะไรภายในบ้านของเรา แม้ปัจจุบันแม่ก็ยังเป็นคนใช้เวลาให้เป็นประโยชน์อยู่เสมอ  แต่ตอนนี้คุณแม่ค่อยลดโครงการลงบ้างแล้วเพราะอายุท่านมาก (อายุ  75  ปี)   นอกจากนี้คุณแม่มักสอนให้ลูกรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมี สอนให้พวกเราเอาข้าวไปรับประทานที่โรงเรียน คุณแม่มักพูดเสมอว่า  เราไม่ต้องไปมองเขากินนะลูก เรามีอย่างไรก็กินอย่างนั้นนะ เดี๋ยวแม่ทำขนมๆอร่อยๆให้รับประทานในวันหยุดไม่ต้องไปซื้อเขาเพราะราคาแพง หรือมักสอนว่า น้ำแพงนะลูกให้ใช้อย่างประหยัด น้ำที่ซักผ้าอย่าทิ้งนะเอาไว้รดน้ำต้นไม้ที่แม่ปลูกด้วย ซึ่งต้นไม้ที่แม่ปลูกส่วนใหญ่เป็นพืชสวนครัว ต้นพริก ต้นบวบหอม มะละกอ ต้นไม้ทุกต้นของแม่เจริญงอกงาม มีผลผลิตที่สามารถเผื่อแผ่ให้เพื่อนบ้านได้รับประทานกัน เรียกว่า ไม่ต้องซื้อรับประทานกัน ยิ่งกว่านั้นยังสร้างเล้าเป็ดและกรงไก่เลี้ยงไว้รับประทานไข่ แถมด้วยการสอนพวกเราเลี้ยงไก่ ทำให้พวกเรามีโอกาสได้รับประทานของสดๆที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบครัน นอกเหนือกว่านั้นคุณแม่ยังสอนเราบ่อยๆว่า ใช้ไฟเสร็จอย่าลืมปิดไฟด้วย รวมทั้งกำหนดดวงไฟให้เราเปิด - ปิด เป็นกฎของบ้าน เพื่อประหยัดค่าไฟ  แม้ปัจจุบันครอบครัวของดิฉันจะมีฐานะที่ดีขึ้น ขวดพลาสติก ขวดทุกชนิด หนังสือพิมพ์ กล่องลัง เราจะแยกเก็บขายให้กับคนขายของเก่าในราคาถูก เพื่อช่วยคนเหล่านี้มีรายได้ บ้านสะอาดไม่รก  ส่วนถุงพลาสติกจะถูกแยกไว้รอการใช้ใหม่อีกครั้งโดยนำมาเป็นที่ใส่ขยะ ต่อมาภายหลังดิฉันเห็นทางการหรือใครรณรงค์เรื่องประหยัดน้ำประหยัดไฟ ปลูกต้นไม้เพื่อลดสภาวะโลกร้อน หรือให้แยกขยะรีไซเคิล ดิฉันมักแอบนึกขำในใจว่า  คุณแม่ของดิฉันรณรงค์ฝึกเราประหยัดน้ำประหยัดไฟ  ปลูกต้นไม้ หรือแม้กระทั่งแยกขยะรีไซเคิลพวกเราได้ปฏิบัติมาตั้งแต่เล็กแล้ว ปัจจุบันยังปฏิบัติกันอยู่จนเคยชิน เมื่อดิฉันอยู่ในฐานะหัวหน้าคณะยังได้นำเรื่องนี้มาสอนเด็กบ่อยๆเรื่องการให้รู้จักประหยัดไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเคยแนะนำให้เด็กในคณะทำกังหันที่สแตนด์เชียร์เพียงแค่ 300 บาท โดยดิฉันให้เก็บหนังยาง ไม้เสียบลูกชิ้นที่บริเวณสนามนั้นซึ่งเด็กในคณะบางคนแสดงอาการรังเกียจพูดเหมือนดูถูก แต่ภายหลังทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีการลงทุนน้อยที่สุดแต่ใช้คุ้มค่ามากที่สุดแถมยังมีส่วนทำให้มีส่วนช่วยชนะการแข่งขันได้รับรางวัลอีกด้วย หรือปัจจุบันโดยเฉพาะเรื่องการหารายได้ให้คณะมีนักเรียนในคณะมาขอความคิดเห็น ดิฉันก็ให้คำแนะนำว่า การหารายได้เราทำไม่ยากถ้าจะทำ  ดิฉันแนะนำว่า เมื่อดื่มน้ำ แก้วน้ำ อย่าทิ้งให้นำมาเก็บที่ชั้นบนของอาคาร 2  หรือเห็นใครทิ้งเก็บของพวกนี้เถอะช่วยโรงเรียนสะอาด คณะมีรายได้ ห้องเรียนมีชื่อเสียง ดีกว่าปล่อยขยะให้เป็นของไร้ค่า ทำให้นักเรียนคณะเหลืองประภัสสรช่วยกันเก็บขวด แก้วน้ำ เป็นรายได้แรกๆเด็กๆจะรู้สึกอายที่ทำกันแต่ตอนหลังเด็กทุกคณะสีมีหลายคนพยายามหาขวด แก้วเพิ่มในคณะมากขึ้น ภายหลังโรงเรียนเห็นความสำคัญได้จัดทำที่เก็บให้แต่ละคณะ ส่งผลให้คณะสีเหลืองประภัสสรมีรายได้จากการขายขยะมากที่สุดเป็นตัวอย่างให้คณะสีอื่นทำตาม ทุกวันนี้นักเรียนทุกคณะช่วยกันเก็บขยะประเภทนี้มากขึ้น ที่สำคัญดิฉันทำตัวอย่างให้นักเรียนดูด้วยว่าครูก็นำมาให้นักเรียนในคณะเก็บหรือทิ้งในที่โรงเรียนจัดให้ นอกจากนี้ที่สำคัญบ้านของดิฉันในปัจจุบันก็ไม่ใช้เครื่องปรับอากาศเหมือนกับบ้านที่มีฐานะส่วนใหญ่ใช้กัน แม้พวกเรามีกำลังซื้อเครื่องปรับอากาศก็ตาม แต่พวกเราก็ไม่ใช้เพราะเห็นว่าไม่จำเป็น เป็นการสิ้นเปลืองค่าไฟโดยใช่เหตุ  

             คุณแม่เป็นคนเจ้าระเบียบ  บ้านของเราจึงสะอาดน่าอยู่ ท่านจะจัดเวรทำความสะอาดบ้าน ต้องกวาดบ้านเช็ดถูบ้านทุกเย็นหลังจากกลับจากโรงเรียน ท่านมักสอนให้เช็ดถูทุกซอกทุกมุมเรียกว่า ทุกกระเบียดนิ้วก็ว่าได้  ดังนั้นพื้นไม้ของพวกเราจะถูจนเป็นพื้นมันเงาวับเห็นเงาสะท้อนเป็นพื้นไม้ที่น่านั่งน่านอนมาก (บ้านเดิมของดิฉันเป็นบ้านเช่าตึกสองชั้นอยู่พระราม 4 พวกเรามักเรียกว่า บ้านพระราม 4  ชั้นบนเป็นพื้นไม้ 2 ชั้น  ภายหลังถูกไล่ที่จึงย้ายมาอยู่ซอยลาซาลพวกเราเรียกว่า บ้านลาซาล)  บ้านเดิมของเราสมัยดิฉันยังเล็กๆ พวกเราไม่มีตู้เสื้อผ้าคุณแม่ทำชั้นวางของเอง แล้วหากล่องกระดาษมาให้พวกเราคนละใบใส่เสื้อผ้า สอนให้พวกเราจัดเสื้อผ้าวางให้เป็นระเบียบ วางรองเท้าให้เป็นระเบียบ  คุณแม่แบ่งหน้าที่ให้ลูกทุกคนทำเพื่อฝึกความรับผิดชอบ  ซึ่งครอบครัวสมัยใหม่มีลูกน้อยให้ความรักมากเกินไป กลัวลูกลำบาก คุณพ่อคุณแม่ยอมลำบากเองทำให้เด็กสมัยนี้ขาดความรับผิดชอบไม่รู้จักหน้าที่และรักสบาย เห็นแก่ตัวตามใจตนเองเป็นส่วนใหญ่  ซึ่งดิฉันมักนำตัวอย่างเรื่องการจัดตารางหน้าที่กันทำงานภายในครอบครัวของดิฉันให้ผู้ปกครองของนักเรียนที่ประสบปัญหาเรื่องการเลี้ยงลูกอยู่ปล่อยครั้งว่า  อย่าเลี้ยงลูกแบบรักลูกจนเกินไป  เดี๋ยวกลายเป็นพ่อแม่รังแกฉัน  ให้รักลูกชนิด เก็บไว้ในใจ  แต่ต้องฝึกให้เขามีส่วนร่วมรับผิดชอบภายในบ้านด้วยเพื่อเขาจะได้เป็นคนรู้จักความรับผิดชอบ ความจริงเรื่องนี้ดิฉันได้ฟังคำเฉลยจากแม่เมื่อดิฉันเป็นครูแล้วจึงเข้าใจทุกเรื่องที่ท่านสอน นำบทเรียนในชีวิตมาเป็นตัวอย่างแนะนำการเลี้ยงลูกให้กับผู้ปกครองบ่อยครั้งที่พบว่าลูกของตนมีปัญหา  เมื่อไปโรงเรียนพวกเราแต่งกายถูกต้องตามระเบียบของโรงเรียน  มีคุณแม่ตัดกระโปรงและเสื้อนักเรียนให้ ดิฉันมักชื่นชมคุณแม่ว่าตัดเสื้อผ้าได้สวยที่สุด ดิฉันจะให้คุณแม่ตัดผมก่อนครูตรวจทุกครั้ง ดิฉันถูกฝึกและคุณแม่สอนให้พูดไพเราะ มีมารยาทเรียบร้อย จนเป็นที่ชื่นชมของคุณครูทุกคนว่าลูกบ้านนี้อบรมมาดี           สำหรับฐานะทางบ้านของดิฉันมีฐานะปานกลางถึงแม้ที่บ้านคุณพ่อประกอบอาชีพขายยา  พ่อมีความสามารถด้านยาแพทย์แผนโบราณ   มีความรู้เรื่องสมุนไพรต่างๆเป็นอย่างดี เคยเขียนตำราขาย  แต่รายได้ขณะนั้นน้อย  คนไม่นิยมเหมือนสมัยนี้ ถือเป็นยาพื้นบ้านโบราณล้าสมัย อีกทั้งดิฉันมีพี่น้องถึง 12 คนซึ่งอยู่วัยกำลังศึกษาทั้งสิ้น  ค่าใช้จ่าย แต่ละภาคเรียนสูง ทั้งนี้เพราะแม่ให้เรียนโรงเรียนเอกชนใกล้บ้านโดยท่านมีเหตุผลว่าลูกๆจะได้เดินไปโรงเรียนไม่ต้องขึ้นรถ เป็นการเดินออกกำลังกายและเวลาเกิดเหตุท่านจะได้ไปโรงเรียนง่าย ดิฉันยังจำได้ว่ามีใบเตือนให้ชำระค่าเล่าเรียนบ่อยครั้ง  คุณแม่ต้องไปขอผ่อนผันค่าเล่าเรียนเสมอ   ทำให้ดิฉันรู้จักประมาณตนไม่ทำให้คุณพ่อคุณแม่เดือดร้อนหรือเสียใจ  จะเคารพเชื่อฟังท่านปฏิบัติตามคำสอนของท่านในทุกเรื่องด้วยความซื่อสัตย์และซื่อตรง ไม่ทำให้ท่านต้องลำบากใจหรือเป็นห่วงดิฉันเพราะดิฉันเห็นว่า  คุณแม่มีน้องๆที่ต้องเป็นห่วงอยู่หลายคน ดิฉันจะทำงานบ้านตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย รู้จักการออมไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย รู้จักการแบ่งเงินเป็นสัดส่วนใช้เงินเท่าที่จำเป็น มีเงินเก็บฝากธนาคารออมสินตามคำแนะนำของคุณแม่ซึ่งท่านสอนตั้งแต่ดิฉันเล็กๆให้ใส่กระต่ายออมสินพอได้มาก  แม่จะให้ซื้อสร้อยทองหรือฝากธนาคารออมสินให้ และสร้อยทองที่ดิฉันซื้อเก็บไว้ก็มีประโยชน์เพราะวันหนึ่งบ้านที่เราเช่าอยู่เจ้าของเรียกคืน ดิฉันให้ขายสร้อยทองนั้นเพื่อซื้อบ้านหลังใหม่ในซอยลาซาลที่ดิฉันอาศัยอยู่ทุกวันนี้ ดิฉันมักได้รับคำชมจากคุณแม่เสมอว่ารู้จักประหยัดอดออมเงินได้มากที่สุดในบ้าน  ดิฉันจะหางานทำช่วงปิดภาคเรียนเสมอโดยย่างกล้วยขายหรือรับงานที่ปั่นจักรยานมาทำที่บ้านโดยมีคุณแม่อีกนั่นแหละคอยให้คำแนะนำสนับสนุน  ช่วงนั้นดิฉันภาคภูมิใจมากที่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้าน มีส่วนช่วยหารายได้ให้ทางบ้าน มีเงินเป็นค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือของตนเองและน้องๆ จนจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 และดิฉันเห็นว่าเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ดิฉันได้เรียนต่อในระดับสูง ที่สำคัญคุณแม่วางกฎว่า ถ้าใครไม่สามารถสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลได้ก็จะไม่ได้เรียนต่อ  เนื่องจากทางบ้านไม่มีเงินส่งเรียน  คุณแม่บอกจะให้ทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งอยู่แถวบ้าน  ด้วยเหตุนี้ดิฉันต้องใช้ความเพียรพยายามสอบเข้าเรียนต่อในสถาบันการศึกษาของรัฐและด้วยความโชคดีของดิฉันที่มีเพื่อนดีชวนดิฉันเข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยครู  ผลปรากฏว่า ดิฉันสอบได้   มีโอกาสได้เข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยครูสวนสุนันทา ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่ผลิตครูที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศในขณะนั้น (พ.ศ.2516)  เมื่อดิฉันมีความรู้ด้านการสอนบ้างแล้ว  ดิฉันเริ่มสอนพิเศษ  สามารถหารายได้ส่งตัวเองจนจบการศึกษาระดับป.กศ.สูง ในปีพ.ศ.2520  และในปีนั้นเองดิฉันสามารถสอบบรรจุเข้ารับราชการในตำแหน่งครูตรี พร้อมกับศึกษาต่อระดับปริญญาตรี   เอกสังคมศึกษา  ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร (ภาคสมทบ)  จนจบปี พ.ศ. 2523   และดิฉันศึกษาหาความรู้อยู่เนืองนิจ เพื่อให้ทันโลก ทันเหตุการณ์  เข้าใจเนื้อหาได้ถูกต้อง  เพื่อการถ่ายทอดความรู้ไม่ผิดพลาด ทำให้ดิฉันแสวงหาความรู้เพิ่มเติมสาขานิติศาสตร์ระดับปริญญาตรี (ภาคบัณฑิต) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์       ส่งผลให้มีโอกาสได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯอีกครั้งหนึ่ง(พ.ศ.2530) และต่อมาดิฉันได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโท เอกบริหารการศึกษา ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร และด้วยความขยันหมั่นเพียรตั้งใจศึกษาหาความรู้อย่างจริงใจด้วยความใฝ่รู้เข้าใจวิธีการเรียนมากขึ้นส่งผลให้การเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีมากได้คะแนนมากที่สุดในเอกบริหารการศึกษารุ่นเดียวกัน ได้ผลการเรียนเฉลี่ย 3.96   สิ่งที่ดิฉันภาคภูมิใจในการเรียนคือ เป็นที่ยอมรับของเพื่อนของอาจารย์ทุกท่านว่า ดิฉันเป็นผู้ใฝ่รู้ มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง รวมทั้งไม่เคยเบียดเบียนเพื่อนครูที่ทำงานร่วมกัน หรือ ใช้เวลาราชการเพื่อการศึกษา ดิฉันจะใช้เวลาหลังจากทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วนอกเวลาราชการ เพื่อการศึกษาหาความรู้ ดิฉันมักได้รับคำชื่นชมจากเพื่อนครูว่า เป็นคนขยันหมั่นเพียร ใฝ่รู้ มีระเบียบแบบแผนการทำงาน  มีวินัยในการใช้เงิน ไม่ก่อหนี้โดยไม่จำเป็น มีน้ำใจให้ความจริงใจกับทุกคน  และนอกเหนือกว่านั้นคือ ดิฉันไม่ต้องรบกวนค่าใช้จ่ายจากคุณพ่อคุณแม่อีกเลยนับตั้งแต่เรียนระดับชั้นป.กศ.เพราะหารายได้พิเศษจากการสอน รายได้จากการช่วยรณรงค์หาเสียงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งในกรุงเทพมหานครให้กับพรรคประชาธิปปัตย์ พรรคพลังใหม่ของคุณหมอกระแส ชนะวงศ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นพรรคการเมืองที่ศรัทธาของประชาชน ทำให้ดิฉันสามารถนำประสบการณ์ช่วงนี้มาใช้เป็นตัวอย่างให้กับนักเรียนได้ศึกษาจนกระทั่งทุกวันนี้  ที่สำคัญดิฉันยังได้ให้เงินคุณพ่อคุณแม่ได้ใช้บ้างเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณท่าน ตลอดจนให้การช่วยเหลือ น้องๆ หลานๆ ในโอกาสที่จำเป็นอยู่เนืองนิจ                 จากการอบรมเลี้ยงดูของคุณแม่ทำให้เรามีวิถีชีวิตที่พอเพียงสอดคล้องกับแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเพราะทำให้ดิฉันครองตนโดยรู้จักประมาณตนในการทำงาน ในการใช้จ่ายทุกเรื่อง โดยใช้เหตุผลพิจารณาทุกเรื่องอย่างมีสติรอบคอบเรียกว่า ต้องคิดอย่างรอบคอบก่อนทำ โดยมีภูมิคุ้มกันที่ดีที่ได้แบบอย่างจากคุณแม่โดยเฉพาะการเป็นคนขยันหมั่นเพียร  มีความรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ อดทน รู้จักคิดสร้างสรรค์ ประหยัด เป็นผู้รู้จักใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่เกิดเป็นมนุษย์ไปโดยไม่รู้สึกตัว เรียกได้ว่าถูกฝึกจนเป็นนิสัย  โดยมีวิถีชีวิตภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเป็นคนใฝ่รู้ ช่างสังเกต และมีคุณธรรมเป็นตัวกำหนดชีวิต        

      ส่งผลให้ดิฉันมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าวัยเด็ก        ปัจจุบันมีบ้านที่อยู่อาศัย 2 หลัง   มีห้องในนิรันดร์คอนโด11  อีก 1  ห้อง  มีที่ดิน 2 แปลง มีรถ 1 คัน และล่าสุดกำลังสร้างบ้านเพื่อประโยชน์ในอนาคตหลังวัยเกษียณอีก 1  หลังโดยกู้เงินธนาคารอาคารสงเคราะห์ซึ่งดิฉันได้ประมาณตนว่าทำได้ไม่ทำให้ตนเองหรือผู้อื่นเดือดร้อน มีความเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ  ได้วิทยฐานะเป็นครูชำนาญการพิเศษ (คศ.3) เป็นที่ภาคภูมิใจของคุณพ่อคุณแม่และพี่น้อง มีครอบครัวอบอุ่น พี่น้องให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลรักใคร่ปรองดอง  นอกจากนั้นสามารถนำเรื่องราวในชีวิตเป็นกรณีตัวอย่างให้นักเรียน  ผู้ปกครองได้ข้อคิดและนำไปเป็นแบบอย่าง       

      ความจริงบรรพบุรุษเราได้สอนลูกหลานไว้อย่างดีแล้วแต่พวกเราปัจจุบันละเลยหลงไปกับวัตถุที่ชาวตะวันตกหลอกล่อว่าเขาเจริญกว่า ให้เราหลงวังวนนั้นเสียนานเกือบร้อยปี  ดีที่มีพ่อหลวงของเรามาเตือนสติให้ได้คิดกันบ้าง ก็หวังว่าผู้ที่มีครอบครัวเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กคงได้ข้อคิดไปบ้างนะคะ  อย่าลืมสังคม ประเทศชาติจะดีได้ต้องมี ครอบครัวที่แข็งแรงเพราะครอบครัวเปรียบเสมือนรากแก้วจริงไหมค่ะ  

หมายเลขบันทึก: 150818เขียนเมื่อ 2 ธันวาคม 2007 05:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน 2012 22:07 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

สวัสดีค่ะ

  • ยินดี ดีใจ ที่ครูเก่งเหลือเกิน มีแนวความคิดที่ดีที่คสวรนำเป็นแบบอย่าง เล่าสู่กันฟังแบบไม่รู้จบค่ะ

ขอบคุณจริงๆค่ะ

 

ขอบคุณคุณครูมากค่ะที่คุณครูสิริพรร่วมแสดงความคิดเห็นและชมเชย เราคงมีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันนะค่ะ

แนวคิดดีครับแต่ทำไมครูสะสมบ้านไว้เยอะจังครับ  ของผมวางแผนให้ลูกๆต้องหาเอง  ให้ชีวิตกับความรู้กับเขาครับ

จากครูนอกโรงเรียนชายแดน  คนชายแดนมีวิถีที่เปลี่ยนไปมากๆๆๆๆๆ  สอนให้ลูกยึดติดกับวัตถุนิยมมากๆๆๆ   นับถือวัตถุ   อำนาจ  เลยลืมความถูกต้อง   ความยุติธรรม   ลืมวัฒนธรรม  ที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวนำไปสู่ความเป็นแกนความดีในทุกๆๆๆเรื่อง 

    ก่อนอื่นขอขอบคุณคุณลุงเอกมากค่ะที่ชมและถามว่าทำไมสะสมบ้านมากจัง   ความจริงคงเป็นเพราะเคยอยู่บ้านเช่ามาก่อนจำได้แม่นเลยว่าบางวันเงินที่บ้านแถบไม่มีเหลือ  ยิ่งเดือนไหนต้องจ่ายค่าเช่าพร้อมกับค่าเรียนก็พูดได้ว่าต้องเกรงใจที่บ้าน  พอมีโอกาสที่จะมีบ้านได้ก็เรียกว่าดวงชะตาพาไปให้มีมากกว่า  แต่ทุกบ้านที่มีอยู่ในขณะนี้มีความหมายทั้งนั้นค่ะ บ้านหลังแรกที่ซื้อไม่ใช่ดิฉันซื้อนะค่ะเป็นของคุณพ่อคุณแม่เป็นอาคารพาณิชย์เรามีเพื่อเป็นร้านขายยา  ซึ่งพวกเราพอโตที่อยู่ไม่พอให้เราอยู่ทำกิจกรรมร่วมกันมากนัก  พอดีข้างบ้านมีที่ดินติดจำนอง จึงได้ซื้อมาสร้างให้อยู่เป็นสัดส่วนมากขึ้น

ส่วนบ้านหลังที่กำลังสร้างดิฉันมีเจตนาให้เป็นบ้านที่ก่อรายได้ในวัยเกษียณทดแทนเงินที่จะขาดไปอนาคตค่ะ  ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยไม่ถึง10%ที่ออมเพื่อวัยเกษียณถ้าเราไม่คิดออมก่อน  ดิฉันเกรงว่าจะเป็นการสร้างภาระให้ลูกหลานค่ะ

          ของคุณค่ะที่ถาม 

          ส่วนคุณครูบุดดีที่เล่าเรื่องคนชายแดนสอนลูกในทางที่ผิด  ก็น่าเห็นใจจริงๆ  ขอเป็นกำลังใจสู้ๆๆสอนลูกของคนชายแดนที่หลงผิดให้กลับใจสู่รากเหง้าของวิถีไทยที่ดีงามได้สำเร็จด้วยนะค่ะ

ปิ่นเพชร บัวอ่อน นักเรียนโรงเรียนพูลเจริญวิทยาคม

ครูผมเก่งที่สุด ขอบคุณนะครับทุกสิ่งที่ครูมอบให้ผม

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท