เขื่อนเป็นปัญหาสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งควรจะต้องมีการจัดการให้ถูกต้อง ไม่ใช่กักเก็บเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีการปล่อยน้ำเพื่อสิ่งแวดล้อมบ้าง
แรมซาร์ไซต์กับการอนุรักษ์ของไทย (4)
อุตสาหกรรมรุกพื้นที่เกษตรจุดจบป่าทาม (จบ)
|
“เขื่อนเป็นปัญหาสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ
ซึ่งควรจะต้องมีการจัดการให้ถูกต้อง ไม่ใช่กักเก็บเพียงอย่างเดียว
แต่ต้องมีการปล่อยน้ำเพื่อสิ่งแวดล้อมบ้าง
ไม่เพียงเท่านั้นแต่นักจัดการที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะต้องดูด้วยว่าจะจัดการกับพืชพรรณที่อยู่ในพื้นที่อย่างไร”
ดร.สมศักดิ์ สุขวงศ์ ประธานคณะกรรมการ
แผนงานสนับสนุนโครงการขนาดเล็กของชุมชนในการจัดการป่าอย่างมีส่วนร่วม
ระบุ โดย
ดร.สมศักดิ์ให้ข้อมูลถึงพื้นที่ชุ่มน้ำว่าเป็นระบบนิเวศที่ต่างจากป่าทั่ว
ๆ ไป เพราะต้องอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เมื่อถึงหน้าน้ำน้ำก็ท่วม
แต่พอถึงหน้าแล้งก็แล้งจัดจนเกิดไฟป่าได้ง่าย ๆ
ดังนั้นพืชพรรณที่อยู่ในป่าประเภทนี้จึงแตกต่างไปจากป่าทั่ว ๆ
ไปด้วยเช่นกัน
และพรรณพืชที่อยู่ริมน้ำก็มีส่วนสำคัญต่อระบบนิเวศในแง่ของการให้ร่มเงา
ที่จะช่วยลดอุณหภูมิของน้ำซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการวางไข่ของปลา
นั่นจึงทำให้ในประเทศที่เจริญแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาถึงกับมีกลุ่มรณรงค์เพื่อรักษาต้นไม้ริมน้ำขึ้นโดยเฉพาะ
“แม่น้ำสงครามโชคดีที่มีป่าบุ่งป่าทามอยู่ริมน้ำอยู่แล้ว
เราแค่ดูแลให้อยู่อย่างยั่งยืนเท่านั้นก็พอ”
แม้การพัฒนาในลุ่มน้ำสงครามตอนบนมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง
แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในบริเวณนี้อย่างการบุกรุกของกลุ่มเกษตรอุตสาหกรรมกลับเป็นสิ่งที่ทำให้ป่าบุ่งป่าทามลดจำนวนพื้นที่ลงมากกว่า
การบุกรุกป่าทามในพื้นที่แถบนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี
2521
โดยมีนายทุนเข้ามากว้านซื้อที่ดินซึ่งเคยเป็นที่สาธารณประโยชน์ของชุมชนมาก่อน
โดยเฉพาะที่บ้านท่าบ่อมีการบุกรุกมากที่สุด
“ทางบริษัทซันเทคกรุ๊ปเอาเอกสารมาให้ชาวบ้านเซ็นโดยจ่ายเงินให้ครอบครัวละ
10,000 บาท ตั้งแต่ปี 2516-2517” สุรชัย ณรงค์ศิลป์
นักวิจัยพันธุ์ปลาบ้านท่าบ่อ ระบุ
หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไปจนกระทั่งไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
จู่ ๆ
ชาวบ้านหลายครอบครัวก็มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินในรูปแบบของ
นส. 3 ก. เฉลี่ยคนละประมาณ 48 ไร่
โดยมีหนังสือเรียกจากทางบริษัทซึ่งเป็นผู้ซื้อว่าถึงกำหนดโอน
ให้ชาวบ้านแต่ละรายที่ได้รับไปเซ็นเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ทั้ง ๆ
ที่ความจริงแล้วแต่ละครอบครัวที่ได้รับหนังสือฉบับที่ว่า
แทบจะไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยว่ามีที่ดินผืนดังกล่าว
ซึ่งบางรายถึงกับต้องไปตรวจเช็กจากสำนักงานที่ดินเพื่อยืนยันอีกครั้งด้วยตัวเอง
!!??
“ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองมีที่ดิน จู่ ๆ ก็มีคนเอามาให้เป็น นส. 3 ก.
ประมาณ 48 ไร่ เมื่อประมาณ 3-4 เดือนก่อน” หนึ่งในชาวบ้านท่าบ่อ
ระบุพร้อมกับแสดงเอกสารฉบับที่ว่า นอกจากนี้ยังมี
บริษัทเกษตรอุตสาหกรรมอีสาน จำกัด
ซึ่งเป็นบริษัทแรกที่เริ่มเข้ามาบุกเบิกธุรกิจผลิตน้ำมะเขือเทศเข้มข้นแบบครบวงจร
ตามมาด้วยบริษัท ซันเทค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีดีไอ จำกัด
บริษัท ทุ่งสรงครามอินดัสทรี จำกัด และบริษัท เอเชียเทค กรุ๊ป
จำกัด
งานวิจัยไทบ้าน ระบุว่า
การเข้ามาของกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งหมดไม่เพียงส่งผลกระทบต่อป่าทามซึ่งถูกแผ้วถางเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจเท่านั้น
แต่ยังก่อให้เกิดความขัดแย้งกับชาวบ้านในพื้นที่ตามมาด้วยโดยที่ดินที่ถูกกว้านซื้อส่วนใหญ่ชุมชนเคยใช้เป็นสถานที่เลี้ยงสัตว์และใช้ประโยชน์จากทาม
ซึ่งส่วนที่เป็นที่รกร้างว่างเปล่ากำลังจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์ของชุมชน
ผลกระทบทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ป่าบุ่งป่าทามซึ่งเป็นเสมือนแหล่งอาหารอันอุดมของชุมชน
ทำให้เกิดโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูพันธุ์ปลาธรรมชาติขึ้น
สาเหตุที่เลือกทำโครงการอนุรักษ์ปลาเป็นเพราะปลาคือปัจจัยหลักของการดำรงชีพของผู้คนตลอดสองฝั่งลุ่มน้ำสงคราม
ซึ่งไม่เพียงหาเพื่อเลี้ยงชีพแต่ในอดีตปลายังทำหน้าที่แทนเงินตราในยุคที่มีการแลกเปลี่ยนสินค้ากัน
จนทำให้เกิดวัฒนธรรม “ข้าวแลกปลา ปลาแลกข้าว”
เพราะถึงแม้ชุมชนในบริเวณนี้จะมีการทำนา
ซึ่งนาส่วนใหญ่จะอยู่ใกล้กับป่าทาม
การทำนาปรังในช่วงฤดูแล้งจึงไม่อาจทำได้ในบางครั้งเมื่อน้ำในทามแห้งขอด
ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกักน้ำในฝายที่อยู่ตอนบนของแม่น้ำและการบุกรุกพื้นที่จนทำให้พื้นที่ทามลดน้อยลงและเกิดภาวะแห้งแล้งตามมา
ความเข้มแข็งของชุมชนที่เกิดขึ้นนี่เอง
ที่ทำให้ลุ่มน้ำสงครามตอนล่างถูกเลือกให้เป็นพื้นที่ตัวอย่างของการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ
และอีกไม่นานที่นี่ก็จะได้รับการประกาศให้เป็นแรมซาร์ไซต์ในลำดับต่อมาของประเทศไทย.
ที่มา:หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 10
กุมภาพันธ์ 2549
|
|
|