อนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) หรืออนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ
แรมซาร์ไซต์กับการอนุรักษ์ของไทย(1)
อันเนื่องมาจากวันพื้นที่ชุมน้ำโลก
|
วันที่ 2
กุมภาพันธ์ของทุกปีถูกกำหนดให้เป็นวันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก
นับตั้งแต่อนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention)
หรืออนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติถูกจัดทำขึ้น
ณ เมืองแรมซาร์ ประเทศอิหร่านเมื่อปี พ.ศ. 2514
โดยประเทศต่าง ๆ
ทั่วโลกต่างทยอยเข้าร่วมเป็นภาคีในอนุสัญญาฉบับนี้
และประเทศไทยเองก็เข้าร่วมเป็นภาคีในลำดับที่ 110
ซึ่งการเข้าร่วมในครั้งนี้ทำให้ไทยจะต้องปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุ
สัญญาฯ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย. 2541
พื้นที่ชุ่มน้ำตามอนุสัญญาแรมซาร์ หมายถึง พื้นที่ลุ่ม พื้นที่ราบลุ่ม
พื้นที่ลุ่มชื้นแฉะ พื้นที่ฉ่ำน้ำ มีน้ำท่วมขัง พื้นที่พรุ
พื้นที่แหล่งน้ำ ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น
ทั้งที่มีน้ำขังหรือท่วมอยู่ถาวรและชั่วครั้งชั่วคราว
ทั้งที่เป็นแหล่งน้ำนิ่งและน้ำไหล
ทั้งที่เป็นน้ำจืดน้ำกร่อยและน้ำเค็ม รวมไป ถึงพื้นที่ชายฝั่งทะเล
และพื้นที่ของทะเลในบริเวณซึ่งเมื่อน้ำลดลงต่ำสุดมีความลึกของระดับน้ำไม่เกิน
6 เมตร
นับตั้งแต่นั้นเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ
พื้นที่ชุ่มน้ำควนขี้เสียน เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จ.พัทลุง
จึงถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศเป็นแห่งแรก
ก่อนจะประกาศแรมซาร์ไซต์ตามมาอีก 5 แห่ง เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2544
ได้แก่ พื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง จ.หนองคาย
ดอนหอยหลอด จ.สมุทรสง คราม ปากแม่น้ำกระบี่ จ.กระบี่
เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย จ.เชียงราย
และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเฉลิมกระเกียรติสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี (พรุโต๊ะแดง) จ.นราธิวาส และเมื่อวันที่
14 ส.ค. 2545 ประกาศพื้นที่แรมซาร์อีก 4 แห่ง ได้แก่
พื้นที่ชุ่มน้ำอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง-ปากแม่น้ำตรัง
จ.ตรัง อุทยานแห่งชาติแหลมสน-ปากแม่น้ำกระบุรี-ปากคลองกะเปอร์ จ.ระนอง
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จ.สุราษฎร์ธานี
และอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จ.พังงา
ขณะที่การสำรวจพื้นที่ชุ่มน้ำของไทยโดยสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมในขณะนั้นพบว่า
พื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทยซึ่งประกอบด้วยป่าชายเลน ป่าพรุ หนอง บึง
สนุ่น ทุ่งนา ทะเลสาบ และแม่น้ำ
กระจายอยู่ทั่วประเทศมีเนื้อที่รวมทั้งหมดประมาณ 21.36 ล้านไร่
หรือประมาณร้อยละ 6.75 ของพื้นที่ประเทศไทย
สาเหตุที่ไทยเข้าร่วมเป็นภาคีของอนุสัญญาฉบับนี้
เป็นเพราะพื้นที่ชุ่มน้ำเหล่านั้นไม่เพียงมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของชุมชนในท้องถิ่นนั้น
ๆ เท่านั้น
ในระดับประเทศการคงอยู่ของพื้นที่ชุ่มน้ำยังมีผลต่อสภาวะสิ่งแวดล้อมโดยรวมของประเทศอีกด้วย
เป็นทั้งแหล่งน้ำ กักเก็บน้ำ มีบทบาทในการช่วยป้องกันน้ำเค็ม
รักษาชายฝั่งทะเล ชะลอการไหลของน้ำ ดักจับตะกอนและธาตุอาหาร
อุดมไปด้วยทรัพยากรที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
และเป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพ
ทว่าพื้นที่เหล่านั้นไม่เพียงกำลังประสบปัญหาทั้งเรื่องการบุกรุกแล้ว
พื้นที่ชุ่มน้ำทั้งที่ถูกประกาศให้เป็นแรมซาร์ไซต์
เรื่อยไปจนถึงพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ ระดับประเทศ
จนถึงระดับท้องถิ่นกลับไม่มีระบบจัดการที่ถูกต้องและเหมาะสมสำหรับแต่ละพื้นที่
จึงทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีอยู่ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ
เพื่อแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมและการสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำของประเทศไทย
กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวด ล้อม
จึงเสนอมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติต่อคณะรัฐมนตรี
ซึ่งได้รับการพิจารณาเห็นชอบเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2543
แต่ปัญหาการบุกรุกและการใช้พื้นที่อย่างผิดวิธีก็ยังมีอยู่
นอกจากขาดความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการร่วมกันอนุรักษ์อย่างแท้จริงแล้ว
การที่ไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับการปฏิบัติตามภาคีของอนุสัญญาฯ
ฉบับนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้การจัดการกับปัญหาไม่เข้มแข็งพอ
“ปัจจุบันนี้เรามีแต่นโยบายการจัดการแต่ไม่มีกฎหมายรองรับ
เราต้องใช้กฎหมายป่าไม้หรือกฎหมายที่ดินเข้ามาบังคับใช้แทน
โดยอาศัยหลักการของอนุสัญญาแรมซาร์มาช่วยเท่านั้น ซึ่งจริง ๆ
ควรจะมียุทธศาสตร์ของประเทศโดยเฉพาะ” ดร.นวรัตน์ ไกรพานนท์
ผู้จัดการโครงการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนในพื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำโขง
ระบุ
กฎหมายที่จะมารองรับการเข้าร่วมเป็นภาคีที่ว่ายังอยู่ในขั้นตอนของการนำเสนอ
ขณะที่ประเทศไทยกลับได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำในภูมิภาคนี้
จากการประชุมสมัชชาภาคีครั้งที่ 9 ณ กรุงคัมพารา ประเทศยูกันดาเมื่อ
8-15 พ.ย. 2548
|
ที่มา:หนังสือพมพ์เดลินวส์ ฉบับวันที่ 7
กุมภาพันธ์ 2549
|
|
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย นาย เกชา บินสัน ใน กฏหมายที่เกี่ยวข้องกับการประมงG.802
ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก