ในที่สุดก็กลับถึงลำปางเสียที หลังจากวนเวียนแถวภาคตะวันออกอยู่หลายวัน รู้สึกว่าชีวิตจะกลับมาเหมือนเดิม อย่างน้อยก็ได้เข้ามาเขียนบันทึกหลังจากที่ไม่ได้เขียนมาหลายวัน แต่จะว่าไปแล้วถ้าจะบอกว่าไม่ได้เขียนก็ไม่ใช่ ความจริงก็ได้เขียน แต่เขียนไว้ในสมุด ไม่ได้นำมาเล่าสู่กันฟัง เนื่องจากหาร้านอินเตอร์เน็ตไม่ได้ เห็นร้านอินเตอร์เน็ตครั้งสุดท้ายก็ตอนที่อยู่เกาะช้าง (อย่างที่เล่าให้ฟังเมื่อวันก่อน) นานมาแล้วที่ไม่ได้สัมผัสร้านอินเตอร์เน็ตที่ราคาแพงอย่างนี้ (นาทีละตั้ง 2 บาท) ค่ะ จำได้ว่าวันนั้นเขียนบันทึกอยู่ไม่กี่ประโยค แต่หมดเงินไปหลาย (ร้อย) ตามประสาคนพิมพ์ช้า พอวันอังคารมาที่จันทบุรี ไปดูงานที่โครงการพระราชดำริอ่าวคุ้งกระเบน วันสุดท้ายคือ วันพุธ ไปที่บ้านผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม เชื่อไหมคะว่า 2 วันนี้ผู้วิจัยไม่เห็นร้านอินเตอร์เน็ตเลย (ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ เพราะ เป็นความจริง) กว่าจะกลับมาถึงลำปางก็ตอนตี 3 (เช้าวันพฤหัส) เหนื่อยแสนเหนื่อย อยากจะนอนพักสัก 2 วันค่อยลุกขึ้นมาทำงาน แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะ เช้าวันนี้ (วันพฤหัส) ต้องเดินทางไปที่อำเภอวังเหนืออีก เนื่องจากยังหาชุมชนให้นักศึกษาเข้าไปศึกษาได้ไม่ครบ 11 ชุมชนเลย กว่าจะลากสังขารลงจากเตียงได้ก็ตอนประมาณ 2 โมงเช้า จัดการทำกิจวัตรประจำวันเสร็จ รถของมหาวิทยาลัยก็มารับพอดี วันนี้อาการดีขึ้นนิดหน่อยหาชุมชนได้อีก 3 ชุมชน รวมแล้วตอนนี้หาได้ประมาณ 5 ชุมชน เหลืออีก 6 ชุมชน ต้องไปหาต่อในวันพรุ่งนี้ (สาธุ! ขอให้สวรรค์มีตา ฟ้าเห็นใจ ดลบันดาลให้ลูกช้างหาชุมชนอีก 6 ชุมชนให้ได้ในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด สาธุ!) อาทิตย์หน้าก็ต้องไปอีก เนื่องจากนัดหมายกับนายอำเภอไว้แล้ว ที่เขียน (บ่น) ไป (บ่น) มาตั้งนานไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่อยากบอกว่าเมื่อไหร่เมืองไทยจะเจริญกว่านี้ อยากให้ที่ที่เราจะไปมีเครื่องบินไปจอดที่นั่น จะได้ทุ่นเวลา ไม่ต้องเดินทางเหนื่อยอย่างนี้ ลำพังพานักศึกษาไปทัศนศึกษาก็เดินทางวันละหลายร้อยกิโลแล้ว พอกลับมาถึงลำปางก็ยังหนีไม่พ้น ต้องเดินทางอีกวันละหลายร้อยกิโล เฉพาะวันนี้นับเบ็ดเสร็จก็ 300 กว่ากิโลแล้ว
มาแล้วเรื่องดีกว่า จั่วหัวบันทึกไว้ว่า "กลับมาแล้ว......พร้อมกับ........." หลายคนคงสงสัย (หรือว่าไม่สงสัย) ว่าที่เว้น...... ไว้ ใน....... ผู้วิจัยตั้งใจจะเขียนอะไร ขอเฉลยเลยก็แล้วกันนะคะว่าตั้งใจจะเขียนว่า "กลับมาแล้วค๊า พร้อมกับความรู้ ความประทับใจเต็มเปี่ยม อยากให้ทุกคนได้ไปสัมผัสสิ่งดีๆในเมืองไทยอย่างนี้บ้าง" (ต้องขอยกความดีความชอบให้กับพี่ต๋อม ธีระ ที่อุตส่าห์แนะนำสถานที่ทัศนศึกษาที่ลงตัวให้อย่างนี้ ขอบคุณมากค่ะ)
สิ่งที่ผู้วิจัยได้รับจากการพานักศึกษาไปทัศนศึกษาในครั้งนี้นั้น ไม่สามารถที่จะบรรยายออกมาได้หมด เอาเป็นว่าจะขอสรุปคร่าวๆ ดังนี้นะคะ
1.มิตรภาพ ระหว่างการเดินทางที่ทุกคนมีให้แก่กัน ทั้งคนขับรถ นักศึกษา เพื่อนอาจารย์ (ที่ไปด้วยกัน 1 คน) รวมทั้งเจ้าหน้าที่ประจำสถานที่ต่างๆ ที่มอบรอยยิ้ม ความเป็นกันเองให้แก่กัน ทำให้การเดินทางในครั้งนี้ไม่มีเหตุการณ์ตึงเครียด เสียงบ่นเบื่อ เหนื่อย หรืออยากกลับบ้านเร็วๆเลย ในทางตรงกันข้าม กลับมีการเรียกร้องให้จัดการศึกษาแบบนี้อีก ผู้วิจัยจึงตั้งใจไว้ว่าปีหน้าจะจัดทัวร์ 4 ภาคทั่วไทย เพื่อให้นักศึกษาได้เห็นแนวทางการพัฒนาของภูมิภาคต่างๆที่มีความแตกต่างกันไปตามลักษณะทางสังคม วัฒนธรรม ภูมิศาสตร์
2.ความรู้ สำหรับความรู้ที่ได้รับนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน คงบรรยายได้ไม่จบ แต่มีอยู่หลายอย่างเหมือนกันที่ผู้วิจัยเห็นว่าแม้จะต่างสถานที่ ต่างกิจกรรม แต่มีแนวทางการพัฒนาที่เหมือนกัน นั่นคือ การพัฒนาที่นำไปสู่ความยั่งยืน ทุกที่ที่ไปไม่ว่าจะเป็นอุทยานแห่งชาติเกาะช้าง ศูนย์ศึกษาพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และบ้านผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม ต่างมุ่งพัฒนาเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน ทุกที่บอกตรงกันว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ต้องมาจากความเข้าใจ ความร่วมแรงร่วมใจของประชาชน หน่วยงานต่างๆต้องทำงานโดยเอาคนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา ไม่ใช่เอาหน่วยงานราชการเป็นศูนย์กลาง แม้กระทั่งศูนย์ศึกษาพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชดำริของในหลวง แต่ก็ไม่เคยบังคับชาวบ้าน หากเห็นว่าชาวบ้านทำไม่ถูกต้อง ที่นี่จะมีวิธีการเปลี่ยนความคิดชาวบ้าน โดยการทำให้ดูจริงๆว่าแนวทางที่ควรจะเป็นหรือทางเลือกอื่นๆมีอะไรบ้าง (โดยไม่ชี้นิ้วหรือตำหนิว่าชาวบ้านทำผิด) ให้ชาวบ้านสังเกต และตัดสินใจด้วยตนเอง เมื่อเป็นอย่างนี้การพัฒนาที่ยั่งยืนจึงจะเกิดขึ้น เนื่องจากทุกคนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง โดยมีผู้ที่รู้เป็นผู้ชี้แนวทาง ไม่ใช่ชี้นำอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต
3.ข้อคิด ในการทำงานพัฒนานั้น จากการฟังบรรยายสรุปและลงศึกษาในสถานที่จริงจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ความจริงแล้วประเทศไทยนั้นมีหน่วยงานที่ทำงานด้านพัฒนามากมาย ไม่ใช่ว่าไม่มี หรือมีไม่เพียงพออย่างที่หลายคนเคยบอกไว้ เพียงแต่หน่วยงานเหล่านี้ทำงานซำซ้อนกัน โดยเฉพาะหน่วยงานราชการ ทุกที่บอกตรงกัน (โดยไม่ได้นัดหมาย) ว่าเมื่อก่อนหน่วยงานราชการทำงานซำซ้อนกัน ก็เลยมัวแต่ทะเลาะกัน ไม่ก้าวไปไหนสักที (ที่มีคนบอกว่าเมืองไทยไม่เจริญ คงเป็นเพราะสาเหตุนี้ด้วยอย่างหนึ่ง) แต่แนวทางการทำงานพัฒนาแบบใหม่ ทุกหน่วยงานต้องหันหน้าเข้าหากัน มาทำงานร่วมกัน ต้องอะลุ่มอล่วยกัน ผลงานที่เกิดขึ้นไม่ใช่ผลงานของราชการ แต่เป็นผลงานของประชาชน เพราะ คนทำคือประชาชน ไม่ใช่ราชการ
ความจริงยังมีอีกมากค่ะ ถ้ามีเวลา (เหลือ) จะมาเล่าให้ฟังอย่างละเอียดอีกทีนะคะ